
“งานเลี้ยงจะสนุกได้อย่างไรถ้าไม่มีเหล้า” เป็นคำพูดที่หลายคนคุ้นเคยและมักกล่าวถึงเมื่ออยู่ในวงสังสรรค์ ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเหล้าหรือสุราเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้ในทุกโอกาสแห่งความสุข และยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยมาอย่างยาวนาน แต่น่าเสียดายที่สุราแบรนด์ไทยกลับมีตัวเลือกน้อย ส่งผลให้คนส่วนใหญ่หันไปบริโภคสุราจากต่างประเทศแทน
คุณรู้หรือไม่ว่าไทยเรามีสุราพื้นบ้านที่เกิดจากภูมิปัญญาไทย และมีประวัติความเป็นมายาวนาน ปัจจุบันหลายจังหวัดในประเทศไทยให้ความสำคัญกับการผลิตสุรา โดยเฉพาะ “เหล้าสังเวียน” ที่กำลังเป็นที่นิยม และถูกกล่าวถึงโดยพิธา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ “เหล้าสังเวียน” และสุราพื้นบ้านไทย
สุราพื้นบ้านคืออะไร?
ก่อนจะพูดถึงเหล้าสังเวียน เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับสุราพื้นบ้านกันก่อน สุราพื้นบ้านคือสุราที่เกิดจากภูมิปัญญาไทย และมีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยโบราณ โดยแต่ละชนิดมีวิธีการผลิตที่แตกต่างกัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้
- สาโท เป็นเหล้าที่ได้จากการหมักข้าวกับลูกแป้ง จนเกิดกระบวนการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล และน้ำตาลกลายเป็นแอลกอฮอล์ สาโทมีดีกรีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 15 ดีกรี
- อุ หรือเหล้าไห เป็นเหล้าที่ทำจากข้าวเหนียวผสมแกรบ ใช้วิธีการหมักในไหที่ปิดสนิท เวลาดื่มต้องใช้หลอดดูด โดยมีดีกรีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 5-10 ดีกรี
- น้ำตาลเมา หรือกระแช่ เป็นเหล้าที่ได้จากการหมักน้ำตาลสด ชาวบ้านจะใช้กระบอกไม้รองรับน้ำตาลจากต้นตาล และใส่ไม้เคี่ยม ไม้พะยอม หรือไม้ตะเคียนลงไป น้ำตาลจะเกิดปฏิกิริยากลายเป็นยีสต์ธรรมชาติและผลิตแอลกอฮอล์ ใช้เวลาเพียง 1 วันในการหมัก และมีดีกรีแอลกอฮอล์ประมาณ 6-9 ดีกรี
- เหล้าขาว หรือเหล้ากลั่น เป็นเหล้ายอดนิยมที่ได้จากการหมักน้ำตาลจากข้าว ข้าวโพด หรืออ้อย โดยน้ำตาลอ้อยให้ความหอมหวานและคุณภาพสูง หลังจากเติมยีสต์และผ่านกระบวนการกลั่น จะได้เหล้าขาวที่มีดีกรีแอลกอฮอล์สูงถึง 40 ดีกรี
สุราเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมต่าง ๆ ในชุมชนไทยมาช้านาน แต่เนื่องจากกฎหมายที่เข้มงวด ชาวบ้านจึงผลิตและดื่มกันเองมากกว่าที่จะนำมาค้าขาย เมื่อประเด็น “สุราก้าวหน้า” ถูกพูดถึง สุราพื้นบ้านไทย โดยเฉพาะ “เหล้าสังเวียน” ก็ได้รับความสนใจอย่างมาก
เหล้าสังเวียน สุรากลั่นชื่อดังจากสุพรรณบุรี
“สังเวียน” เป็นสุรากลั่นจากสุพรรณบุรี ที่ผลิตโดยการหมักน้ำหวานจากอ้อยสดจนเกิดแอลกอฮอล์ แล้วนำไปกลั่น
ชื่อ “สังเวียน” มาจากชื่อของคุณปู่ของนายทวีชัย ทองรอด หรือ “ช้าง” เจ้าของแบรนด์ คุณปู่เป็นคู่ชีวิตของคุณย่าที่เคยผลิตสาโทขายในอดีต การตั้งชื่อนี้จึงเป็นการระลึกถึงคุณปู่และความรักที่ทั้งคู่มีให้กัน
นายทวีชัยมีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตเบียร์จากการศึกษาที่อังกฤษ และมีประสบการณ์ทำงานในบริวผับ (Brewpub) ขนาดใหญ่ของไทยมาหลายปี บริวผับคือเบียร์สดที่ไม่ได้บรรจุขวด แต่ผลิตใส่ถังและจ่ายผ่านหัวปั๊ม ปัจจุบันเขายังผลิตเบียร์ดื่มเองและพัฒนาผลิตภัณฑ์เหล้าสังเวียนอย่างต่อเนื่อง
เหล้าสังเวียนถูกกล่าวถึงในรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2566 โดยพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ในประเด็นสุราก้าวหน้า ส่งผลให้ประชาชนสนใจและค้นหาข้อมูลอย่างล้นหลาม จนมีรายงานว่า “เหล้าสังเวียนหมดโรงงานแล้ว” ในช่วงเย็นวันเดียวกัน
พิธา กล่าวว่า หาก พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคก้าวไกลได้รับการอนุมัติ จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับอ้อย และเชื่อมโยงกับนโยบายเศรษฐกิจเพื่อเปลี่ยนสินค้าเกษตรให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น
นอกจากเหล้าสังเวียนแล้ว ยังมีอีกหนึ่งแบรนด์ไทยที่ถูกพูดถึง นั่นคือ Kilo Spirits จากจังหวัดกระบี่
Kilo Spirits สุรากลั่นคุณภาพจากจังหวัดกระบี่
Kilo Spirits เป็นอีกหนึ่งแบรนด์สุรากลั่นจากจังหวัดกระบี่ที่ได้รับความสนใจ ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 และเป็นโรงกลั่นลำดับที่ 5 ของจังหวัด เกิดจากความร่วมมือของสามีชาวอังกฤษและภรรยาชาวไทยที่คบหากันมานานกว่า 20 ปี พวกเขาเริ่มต้นทำสุรากลั่นอย่างจริงจังก่อนการล็อกดาวน์ครั้งแรก ทำให้ต้องเรียนออนไลน์และเดินทางไปศึกษาดูงานที่ต่างประเทศหลังสถานการณ์คลี่คลาย
แบรนด์ Kilo Spirits มีผลิตภัณฑ์หลัก 2 ชนิด ได้แก่ จินและวอดก้า และกำลังวางแผนทดลองผลิตเหล้ารัมจากน้ำตาลเพิ่มอีก 1 ชนิด โรงงานใช้น้ำอ้อยสดจากเกษตรกรในจังหวัดกระบี่ ซึ่งบางส่วนเป็นพนักงานของโรงงาน น้ำอ้อยนี้ถูกนำไปหมักเพื่อผลิตแอลกอฮอล์ จากนั้นผ่านกระบวนการกลั่น 3 รอบจนได้แอลกอฮอล์ 95% ก่อนนำไปบ่มหรือเจือจางเพื่อให้ได้กลิ่น รสชาติ และดีกรีตามต้องการ
พวกเขามีความฝันที่จะเห็นเหล้าไทยสามารถยืนเคียงคู่กับสุรานำเข้าได้อย่างภาคภูมิ และหวังว่าเหล้าไทยจะถูกส่งออกไปให้ชาวต่างชาติได้ลิ้มลอง
เหล้าไทยทัดเทียมระดับโลก
จากตัวอย่างที่กล่าวมา แสดงให้เห็นว่าสุราพื้นบ้านไทยเป็นสินค้าที่มีศักยภาพและสามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจได้ หากได้รับการสนับสนุนและกฎหมายที่เอื้ออำนวย นอกจากสองแบรนด์ที่กล่าวถึง ประเทศไทยยังมีแบรนด์สุราอีกมากมาย เช่น
ISSAN RUM อีสานรัม เหล้าหนองคายที่เคยคว้าเหรียญเงินจากเวทีการแข่งขัน IWSC (International Wine and Spirit Competition) ในปี 2014
Onson (ออนซอน) เหล้าสกลนคร ที่เกิดจากไอเดียของเจ้าของร้านอาหารในสกลนคร ที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นทั้งหมดในร้าน
- ตำนาน สุราชุมชน จากจังหวัดตราด
- โคโยตี้ลำก้า สุราชุมชนของเชียงใหม่
- The Spirit of ChaiyaPhum เหล้ารัมจากชัยภูมิ
- KHAN (ขาล) และ Kaeng Sua Ten (แก่งเสือเต้น) เหล้ากลั่นจากแพร่
- Gin Tara จินธารา เหล้ากลั่นที่ผลิตโดยกลุ่มวัยรุ่นแถวพุทธมณฑล
- ม้าแก้วมังกร สุราชุมชนอุตรดิตถ์ ที่ทำจากสับปะรด
นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์สุราท้องถิ่นไทยอีกมากมายที่พร้อมก้าวสู่ระดับสากล หากไม่ถูกจำกัดด้วยการผูกขาดจากผู้ผลิตรายใหญ่ และกฎหมายโฆษณาที่เอื้อประโยชน์ให้กับแบรนด์ใหญ่ แต่ปิดกั้นโอกาสของแบรนด์เล็กในการเข้าถึงผู้บริโภค
สรุป
ปัจจุบันสุราไทยได้รับความสนใจจากสื่อต่าง ๆ เนื่องจากมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและประโยชน์หลากหลาย นอกจากใช้ดื่มในงานสังสรรค์แล้ว ยังสามารถนำไปใช้ประกอบอาหารหรือเป็นยาสมุนไพรได้ อย่างไรก็ตาม กฎหมายที่เข้มงวดและการผูกขาดการผลิตโดยผู้ผลิตรายใหญ่ ทำให้แบรนด์สุราไทยถูกจำกัดให้รู้จักเฉพาะในกลุ่มชาวบ้านเท่านั้น
หากมีการยอมรับและกฎหมายที่สนับสนุน สุราไทยจะสามารถพัฒนาก้าวไกลกว่าเดิมได้ เพราะปัจจุบันสุราไทยยังเป็นเพียงภูมิปัญญาชาวบ้าน แต่หากนำความรู้จากผู้เชี่ยวชาญมาช่วยพัฒนา สุราไทยจะก้าวสู่ระดับที่สูงขึ้นได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม การดื่มแอลกอฮอล์ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมและอยู่ภายใต้การควบคุม เพราะการดื่มมากเกินไปอาจก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น