หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า คำว่า "สวัสดี" ที่เราพูดกันทุกวันนี้ เดิมทีไม่ได้ใช้เพื่อการทักทาย แต่เป็นคำที่ใช้ในการอวยพร
วันนี้ Mytour Campus จะพาคุณไปค้นหาที่มาของคำว่า สวัสดี ว่าทำไมคำอวยพรถึงกลายมาเป็นคำทักทายจนถึงทุกวันนี้

"สวัสดี" มีต้นกำเนิดจากภาษาสันสกฤต มาจากคำว่า สฺวสฺติ (อ่านว่า ซะ-วัส-สฺติ) ซึ่งเกิดจากการสนธิระหว่างคำอุปสรรค สุ- ที่แปลว่า ดี งาม หรือง่าย กับคำกิริยา "อสฺติ" ที่แปลว่า มี โดยแผลง "สุ" เป็น "สฺว" และสนธิกับ "อสฺติ" เป็น "สฺวสฺติ" อ่านว่า สฺ-วัส-สฺ-ติ (svasti) แปลว่า "ขอความดีความงามจงมีแก่ท่าน" ชาวอินเดียโบราณเชื่อว่า สวัสดี คือเทพีแห่งความสุข โชคดี และความสำเร็จ ส่วนในภาษาไทย สวัสดี หมายถึง ความรุ่งเรืองและความปลอดภัย มักใช้คู่กับคำว่า ความสุข เป็น "ความสุขสวัสดี"
คำว่า สวัสดี ถูกใช้มาตั้งแต่ยุคสุโขทัย โดยพบในจารึกปู่ขุนจิดขุนจอด จารึกวัดพระเสด็จ และไตรภูมิพระร่วง ซึ่งกล่าวอวยพรผู้รักษาศีลว่า "…ให้จำเริญสวัสดีทุก ๆ ชาติแล" แต่เดิมคำนี้ไม่ได้ใช้เพื่อการทักทาย ผู้ที่ริเริ่มให้ใช้คำว่า สวัสดี เป็นคำทักทายคือ พระยาอุปกิตศิลปสาร โดยเริ่มใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ระหว่างอาจารย์และนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ประกาศให้ใช้คำนี้อย่างแพร่หลาย
คำว่า สวัสดี นั้นทำหน้าที่ทั้งการทักทายและอวยพรในเวลาเดียวกัน เมื่อกล่าวคำนี้ คนไทยมักยกมือประนมไหว้ระดับอก มือประสานกันเป็นรูปดอกบัวตูม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งสูงค่าและมงคล เนื่องจากดอกบัวใช้ในการสักการะผู้ใหญ่และบูชาพระรัตนตรัย การวางมือไว้ที่หัวใจแสดงถึงการทักทายที่มาจากใจ นอกจากนี้ การกล่าวสวัสดีพร้อมประนมมือยังสะท้อนถึงจิตใจอันงดงามของคนไทยที่ปรารถนาให้ผู้อื่นพบแต่สิ่งดีงาม การกระทำนี้ถือเป็นมงคลทั้งต่อผู้พูดและผู้ฟัง และยังเสริมเสน่ห์ให้กับบุคคลอีกด้วย