
สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย เป็นคำพูดที่สื่อความหมายคล้ายคลึงกัน มักเป็นถ้อยคำที่สืบทอดกันมายาวนาน โดยมีจุดประสงค์เพื่อสอนใจและเตือนสติ โดยส่วนใหญ่จะมีความหมายแฝงหรือเปรียบเทียบ ไม่ได้ตรงตามตัวอักษร ในภาษาไทยมีคำเหล่านี้อยู่มากมาย ซึ่งสะท้อนถึงภูมิปัญญาในการใช้ภาษาเพื่อเปรียบเทียบและสอนใจในชีวิตประจำวัน และเรามักนำมาใช้บ่อย ๆ
เรื่องของการพูดมักถูกนำมาเตือนสติและสอนกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะการพูดโดยไม่คิด ซึ่งอาจนำไปสู่หายนะ เห็นได้จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน การพูดเพียงเพราะอยากพูดหรือแสดงความคิดเห็นโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี มักนำมาซึ่งปัญหาและความเสียใจในภายหลัง ทำได้เพียงคิดว่า “น่าจะเงียบไว้ดีกว่า” ดังนั้น Tonkit360 จึงรวบรวมสำนวน สุภาษิต และคำพังเพยที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการพูด เพื่อช่วยระงับความอยากพูด หากไม่แน่ใจว่าผลลัพธ์จะดีหรือไม่ ก็ควรหยุดคิดก่อนพูด
ปลาหมอตายเพราะปาก
สำนวนแรกที่มักถูกนำมาเตือนเกี่ยวกับการพูดคือ “ปลาหมอตายเพราะปาก” ซึ่งมีความหมายตรงตัว หมายถึงคนที่พูดโดยไม่คิดจนนำภัยมาสู่ตัวเอง การพูดพล่อย ๆ คือการพูดโดยไม่ไตร่ตรองว่าควรหรือไม่ควรพูด ซึ่งหากพูดในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ย่อมนำมาซึ่งปัญหา เหมือนการโพสต์หรือคอมเมนต์โดยไม่คิด สุดท้ายก็จะถูกกระแสตีกลับ ที่มาของสำนวนนี้มาจากพฤติกรรมของปลาหมอที่ต้องโผล่ปากขึ้นมาหายใจ ทำให้ถูกนกหรือคนหาปลาเห็นและจับไปได้ง่าย ๆ
ปากไม่มีหูรูด
ตามพจนานุกรม “หูรูด” หมายถึงกล้ามเนื้อที่ปิดเปิดช่องทวารหนัก คล้ายปากถุงที่รูดได้ สำหรับคนที่หูรูดไม่ดี มักมีปัญหาในการกลั้นอุจจาระ ซึ่งพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ แต่เมื่อนำคำว่า “หูรูด” มาใช้กับ “ปาก” ในสำนวน “ปากไม่มีหูรูด” จะหมายถึงคนที่พูดโดยไม่ยั้งคิด พูดพล่อย ๆ โดยไม่ไตร่ตรองว่าควรพูดหรือไม่ ปากที่ไม่มีหูรูดควบคุมจะปล่อยคำพูดที่ไม่ควรพูดออกมาโดยไม่หยุด เปรียบเหมือนปากที่ปล่อยของเสียออกมาเรื่อย ๆ เพราะไม่สามารถกลั้นได้
ปั้นน้ำเป็นตัว
“ปั้นน้ำเป็นตัว” เป็นสำนวนที่ใช้เรียกคนที่ชอบเรียกร้องความสนใจ แต่ไม่รู้จะทำอะไรที่มีสาระ จึงสร้างเรื่องเท็จขึ้นมาเพื่อให้ดูน่าสนใจ หรือที่เรียกว่า “สร้างคอนเทนต์” ในยุคปัจจุบัน บางคนถึงขั้นมโนจนแยกความจริงกับเรื่องแต่งไม่ออก แม้คนอื่นจะมองออกแต่ก็ยังพยายามแก้ตัวต่อไป พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้คำว่า “คอนเทนต์” ถูกมองในแง่ลบ เพราะคนมักสงสัยว่าเป็นเรื่องจริงหรือแค่สร้างขึ้นมา ทั้งที่จริงแล้วคอนเทนต์หมายถึงเนื้อหาเท่านั้น
พูดดีเป็นศรีแก่ปาก
เราอาจคุ้นเคยกับคำว่า “พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะมีสี” มากกว่า แต่ในพจนานุกรมมีเพียง “พูดดีเป็นศรีแก่ปาก” เท่านั้น ความหมายของสำนวนนี้ชัดเจน คือการพูดดีจะทำให้ได้รับความชื่นชมจากผู้อื่น ในทางกลับกัน หากพูดมาก พูดไม่เข้าหู หรือพูดจาพาดพิงผู้อื่นโดยไม่จำเป็น อาจนำภัยมาสู่ตัวเองได้ง่าย ๆ สำนวนนี้จึงเป็นคำเตือนที่ดีสำหรับคนยุคนี้ที่มักพูดเกินขอบเขตและล้ำเส้น ซึ่งอาจจบไม่สวย
พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง
“พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง” หมายถึงการพูดที่ไม่เกิดประโยชน์ การเงียบเสียดีกว่า โดยโบราณเปรียบเทียบไว้ว่า การพูดอาจได้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย (สองไพเบี้ย) แต่การเงียบอาจได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า (หนึ่งตำลึงทอง) สำนวนนี้ใช้เตือนว่าการพูดเตือนคนอื่นบางครั้งก็เปล่าประโยชน์ เพราะเขาไม่ฟัง และยังอาจทำให้คุณค่าของคำพูดเราลดลง หากไม่สามารถพูดสิ่งที่ดีหรือมีประโยชน์ได้ การเงียบไว้ย่อมดีกว่า