
การทำงานเป็นทีมจำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีหลายรูปแบบให้เลือกใช้ อย่างไรก็ตาม การพูดคุยแบบเผชิญหน้ายังคงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากช่วยให้สามารถแก้ไขข้อสงสัยหรือแสดงความเห็นต่างได้ทันที นอกจากนี้ การได้ยินน้ำเสียงและสังเกตภาษากายของคู่สนทนายังช่วยเสริมสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น น้ำเสียงและท่าทางเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความผิดพลาดในการสื่อสาร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการสื่อสารผ่านข้อความที่อาจขาดความชัดเจนหรือความรู้สึก จนอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความไม่ไว้วางใจ
แม้ว่าการพูดต่อหน้าจะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่คุณเคยสังเกตไหมว่ามีเพียงบางคนเท่านั้นที่มีทักษะการพูดที่โดดเด่น คนเหล่านี้มักทำให้เราประทับใจ พูดจาน่าฟัง น่าเชื่อถือ และโน้มน้าวใจได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องใช้การข่มขู่หรือกลวิธีใด ๆ คนเหล่านี้คือผู้ที่เชี่ยวชาญใน “วาทศิลป์” ซึ่งเป็นศิลปะการใช้คำพูดและสำนวนโวหารเพื่อสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่น วาทศิลป์เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันในทีมเป็นไปอย่างราบรื่น
ความสำคัญของการโน้มน้าวใจในการทำงาน
ความเห็นที่แตกต่างมักเกิดขึ้นเสมอเมื่อทำงานร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากสมาชิกในทีมแต่ละคนมีมุมมองและวิธีการทำงานที่หลากหลาย เมื่อมีคน “ไม่เห็นด้วย” กับแนวคิดของเรา การโน้มน้าวใจคือขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจมา “เห็นด้วย” การพูดโน้มน้าวใจคือการทำให้ผู้ฟังคล้อยตามและสนับสนุนแนวคิดของเรา ไม่ว่าจะเป็นการใช้เหตุผลที่น่าเชื่อถือหรือการอ้างอิงหลักฐานที่หนักแน่น จุดประสงค์คือเพื่อให้อีกฝ่ายเปลี่ยนความเชื่อหรือปฏิบัติตามสิ่งที่เราต้องการ นี่คือพลังของวาทศิลป์
การซื้อใจเพื่อนร่วมงานต้องอาศัยทักษะวาทศิลป์
เราไม่ได้รู้สึกสบายใจที่จะสนทนากับทุกคนในที่ทำงานใช่ไหม? บางคนพูดจาน่าฟัง น่าเชื่อถือ และโน้มน้าวใจได้เก่ง คนเหล่านี้ล้วนมีวาทศิลป์ หรือศิลปะในการพูดที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจ ตราตรึงใจ และมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่ความสำเร็จร่วมกัน แม้เราจะรู้ว่าเขากำลังใช้วาทศิลป์เพื่อโน้มน้าวใจ แต่เราก็ยินดีที่จะคล้อยตามโดยไม่รู้สึกถูกบังคับหรือหลอกลวง ในขณะที่กับเพื่อนร่วมงานบางคนที่พูดจาไม่เข้าหู เราก็มักจะไม่อยากสนทนาด้วย
การจัดการความขัดแย้งด้วยวาทศิลป์
เมื่อความเห็นต่างนำไปสู่ความขัดแย้ง การมีคนกลางมาไกล่เกลี่ยจึงเป็นสิ่งสำคัญ คนกลางจะต้องพูดคุยทำความเข้าใจและเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองฝ่ายเย็นลงก่อน จากนั้นใช้ทักษะวาทศิลป์เพื่อโน้มน้าวให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาเจรจาต่อและหาจุดร่วม อย่างไรก็ตาม การใช้วาทศิลป์จัดการความขัดแย้งต้องระมัดระวัง ต้องเป็นกลางจริง ๆ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะหากแสดงท่าทีหรือพูดจาที่ชวนเข้าใจผิด อาจทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือและกลายเป็นผู้ไม่น่าไว้วางใจในที่สุด
การสั่งงาน ขอความช่วยเหลือ หรือชื่นชม หากพูดไม่เป็นอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง
ไม่มีใครชอบถูกสั่งให้ทำนู่นทำนี่ โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันหรือมีอายุใกล้เคียงกัน การมอบหมายงานให้ผู้อื่นมักสร้างความอึดอัดใจ และบางครั้งแค่ท่าทีก็ทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้แล้ว ยิ่งถ้าคำพูดฟังดูเหมือนคำสั่งที่ห้วน ๆ ก็อาจทำให้เกิดความขัดแย้งได้ แต่คนที่สามารถสั่งงานได้อย่างนุ่มนวล เสมือนเป็นการขอความร่วมมือหรือรบกวนเบา ๆ จะทำให้ผู้ฟังรู้สึกดีและเต็มใจทำมากกว่า แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการให้เกียรติเกินจำเป็น แต่การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพมักทำให้พวกเขายินดีช่วยเหลือโดยไม่รู้สึกอึดอัด การเป็นที่รักย่อมดีกว่าการถูกเกลียดเสมอ
การโน้มน้าวใจคือการสร้างแรงจูงใจ ไม่ใช่การบังคับ แต่ทำให้คนเต็มใจทำด้วยตัวเอง
คนที่มีทักษะวาทศิลป์ในการสื่อสารเปรียบเสมือนผู้มีพรสวรรค์ เพราะเพียงแค่คำพูดก็สามารถสร้างเสน่ห์และพลังที่จะทำให้คนคล้อยตามได้ ความสามารถในการพูดให้เข้าถึงจิตใจของผู้ฟัง จูงใจให้เปลี่ยนความคิดหรือทัศนคติโดยไม่ต้องบังคับ เป็นทักษะที่ช่วยให้ผู้พูดควบคุมสถานการณ์และกำหนดทิศทางได้ตามต้องการ แม้แต่คนที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจก็สามารถเปลี่ยนใจได้ หากฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ทักษะวาทศิลป์ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม