ถ่ายทอดเรื่องราวความรักครั้งแรกผ่าน EP “Love’s Apprentice”!! โดยศิลปินหนุ่มฮอต “บิวกิ้น–พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” (Billkin) ที่เผยแง่มุมของการเป็น “เด็กฝึกรัก” ที่ใช้หัวใจและความรู้สึกนำทาง มีทั้งความสุขและน้ำตาผ่าน 5 ซิงเกิลสุดฮอต ได้แก่ เพลงชอบตัวเองตอนอยู่กับเธอ (I Like Us), กลับมาคบกันเถอะ (Please Please), Mr.Everything, ยิ้มทั้งน้ำตา (Always) และการเดินทางที่สวยงาม (A Beautiful Ride) เรื่องราวความรักของ “บิวกิ้น” ที่ถึงแม้จะเติบโตแต่ก็ยังใช้ “ความรู้สึก” เป็นแนวทางในชีวิต บิวกิ้นเล่าถึงการเริ่มต้นจาก
คอนเซปต์ของ EP Love’s Apprentice คืออะไร?
“ผมมองว่าอีพีนี้เป็นอัลบั้มแรกของผม ซึ่งมันสะท้อนถึงประสบการณ์ในวันนี้และเรื่องราวจากประสบการณ์ความรักที่ไม่มากของผมเอง ทำให้มันเป็นช่วงปั๊ปปี้เลิฟหรือรักครั้งแรก ทุกอย่างในนี้คือการทดลอง เป็นการลงไปเรียนรู้ความรักครั้งแรกอย่างเต็มที่ ไม่มีการเผื่อใจ ใส่ไปสุดทุกอย่าง ความรู้สึกที่ผมหยิบมาใช้ในแต่ละเพลงคือการเรียนรู้ในช่วงเวลานั้นๆ โดยรวมเป็นธีมใหญ่คือประสบการณ์รักครั้งแรก รวมทั้งหมด 5 เพลง ซึ่งจะทำให้คนได้เห็นการเดินทางของความรู้สึกตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงปลายทาง ถึงแม้จะเป็นการเลิกรา แต่เรื่องราวระหว่างทางมีทั้งความสุขและน้ำตา เป็นความทรงจำที่สวยงามที่สุดที่ยังคงอยู่เสมอ ตอนนี้ผมก็รวบรวมเป็น LOVE’S APPRENTICE “BOXSET SPECIAL EDITION & STANDARD EDITION” ให้ติดตามกันครับ”

แฟนๆ ได้เห็นมุมใหม่จากเพลงยิ้มทั้งน้ำตา ฟีดแบ็กเป็นยังไงบ้าง?
“ดีใจครับ เพลงนี้เป็นอีกมู้ดหนึ่งในอีพีอัลบั้มนี้ ทั้งตัวเพลงและเอ็มวีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและอารมณ์ที่เข้มข้น เอ็มวีจะออกแนวเหมือนหนังสั้นนิดๆ เพลงนี้สะท้อนความรู้สึก Bittersweet การจากลาแม้จะเศร้า แต่ก็ยังมีความสวยงาม ในเอ็มวีนี้ผมได้กลับมาทำการแสดงอีกครั้ง โดยเฉพาะฉากที่ต้องร้องไห้ที่ยากมาก ต้องฝึกเวิร์กช็อปเพื่อเรียกพลังการแสดงกลับมา และได้ร่วมแสดงกับพี่ณิชา-ณัฏฐณิชา ซึ่งยอมรับว่าเกร็งมากครับ พี่ณิชาเก่งมากจริงๆ”
เราร้องไห้ได้ง่ายไหม? “เมื่อก่อนร้องได้ง่ายครับ แต่พอทำงานมานานและไม่ได้แสดงบ่อยๆ มันเหมือนต้องกลับมาฝึกใหม่ทำให้ร้องไห้ยากขึ้นครับ”
แต่บนเวทีก็น้ำตาแตกบ่อยๆ? “อ๋อ ก็มีบ้างครับ (ยิ้ม)”
เพลงนี้ทำให้เรารู้สึกอินขนาดไหน? “มันตรงกับความรู้สึกของเราในช่วงนั้น เป็นประสบการณ์ที่เราสะสมและกลั่นออกมาอย่างชัดเจน จึงเอามันมาเขียนเป็นเพลง และเพลงสุดท้ายของอีพีนี้ก็เหมือนเป็นการสรุปความรู้สึกทั้งหมด”
หลังจากกลับมาทำการแสดงแล้ว มีโปรเจกต์ที่จริงจังขึ้นมาไหม?
“หวังว่าอย่างนั้นครับ การแสดงคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมาก รู้สึกชอบและมีความสุขที่ได้ทำ แต่ก็ไม่ได้ทำมานาน 2-3 ปีแล้ว เริ่มคิดถึงมันมากเลยครับ และถึงแม้ว่าผมจะพูดถึงมันอยู่ตลอด แต่ยังไม่มีโอกาสที่พอดีกัน คิดว่าคงได้เห็นโปรเจกต์ภาพยนตร์ในเร็วๆ นี้คือ THE CHINESE FAMILY (Working Title) กำกับโดยพี่พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ผมมองว่าการแสดงต้องใช้ความทุ่มเทสูงมาก ทั้งในแง่กายภาพและการใช้ความรู้สึก บางครั้งต้องเปลี่ยนลุคการแสดงเพื่อให้เหมาะสมกับบท บางครั้งต้องโฟกัสกับมันมากๆ ทำให้เลือกงานที่ตรงกับความรู้สึกจริงๆ และเป็นงานที่มีรายละเอียดมาก เช่น บท นักแสดง ผู้กำกับ ต้องดูภาพรวมทั้งหมดก่อนที่จะตัดสินใจทำครับ”
เพลงที่ผ่านมาได้รับรางวัล TOTY Music Awards 2022 เป็นการการันตีฝีมือหรือไม่? “ดีใจครับ เพราะเพลงของศิลปินคนอื่นๆ ก็มีคุณภาพมากเหมือนกัน จริงๆ ก็ไม่คิดว่าจะได้รางวัล แต่การได้รับรางวัลมันทำให้รู้สึกมีกำลังใจ เพราะเราได้ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด และงานศิลปินก็เป็นการเล่าเรื่องราวของเราเอง ทำให้มั่นใจในตัวเองมากขึ้น และมีไฟที่จะทำงานต่อไป”
การได้รับรางวัลสร้างความกดดันในผลงานต่อไปหรือไม่? “มีบ้างครับ มันทั้งสร้างความกดดันและแรงผลักดันในตัวเรา อย่างที่บอกว่ามันทำให้เรามั่นใจมากขึ้นและรู้สึกได้รับคุณค่าจากงานที่ทำ แต่พอได้รับมาตรฐานที่เป็นตัววัดของตัวเอง มันเหมือนถ้าเราทำเท่าเดิมก็แค่เสมอตัว ถ้าไม่ทำให้ดีก็กลายเป็นมาตรฐานตก ก็เลยกดดันเรื่องคุณภาพที่เราต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ”

ไดเรกชันในการทำงานของเราใช้ความรู้สึกนำทางมาตลอดถึงวันนี้เติบโตขึ้นอย่างไร? “ผมยังคงใช้ความรู้สึกเป็นแนวทางเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกก็เปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาของชีวิตที่เราเติบโตขึ้น ประสบการณ์ที่มีเพิ่มขึ้นทำให้เรามีความคิดและตัวตนที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างตามอายุ”
มีเวลากลับไปทบทวนตัวเองหรือรีวิวตัวเองที่ผ่านมาบ้างมั้ย? “มีครับ บางครั้งเราทำงานทุกวันจนไม่ค่อยมีเวลามองตัวเอง แต่ก็จะมีทีมงานหรือคนรอบตัวที่คอยให้คำแนะนำและชี้จุดต่างๆ ให้เราเห็น”
ตอนนี้ขึ้นแท่นเจ้าพ่อพรีเซนเตอร์? “ไม่นะครับ (ยิ้ม) ก็มีบ้างครับ แต่ถ้าจะให้เป็นเจ้าพ่อจริงๆ คงต้องเยอะกว่านี้ ยังมีโอกาสอีกมากครับ”
ทำงานเหมือนร้อนเงิน? “ผมว่ามันเป็นจังหวะของชีวิตที่เมื่อโอกาสมาถึงเราก็ต้องยึดมันไว้เต็มที่มากกว่า”
มีเวลาให้ชีวิตส่วนตัวของตัวเองบ้างมั้ย? “มีครับ มันขึ้นอยู่กับช่วงเวลาบางช่วงปลายปีจะยุ่งมากหน่อย แต่ช่วงต้นปีจะมีเวลาว่างมากขึ้น ก็จะได้อยู่บ้านบ้าง ออกกำลังกายบ้าง หรือไปเที่ยวในวันหยุดบ้าง”
เวลาเรายุ่งกับงาน อะไรคือความสุขเล็กๆที่ฮีลใจได้? “ความสุขเล็กๆ ของผมคงเป็นเรื่องง่ายๆ รอบตัว เช่น การนั่งรถไปงานแล้วได้หลับบนรถตู้สักพักก็รู้สึกดีแล้ว ถ้าสัปดาห์หนึ่งได้อยู่บ้าน ออกกำลังกาย กินข้าวที่บ้านและชงกาแฟ ผมว่ามันก็ดีแล้วครับ เป็นความสุขที่เรียบง่าย แต่ว่าความสุขที่ใหญ่กว่านั้นก็เกิดจากการทำงานที่เรารักอยู่ตลอด”
ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงเหนียวแน่นกับพีพี–กฤษฏ์ ผลัดกันตอบคำถามกันสนุก? “ใช่ครับ ความสัมพันธ์เหนียวแน่นมาก ตอบคำถามไปมาอย่างสนุกสนาน (ยิ้ม)”
รู้สึกยังไงที่แฟนๆรอคำฟินๆของแต่ละคนเวลาให้สัมภาษณ์? “รู้สึกดีใจมากครับที่แฟนๆชื่นชอบและรอคอยคำตอบจากเรา ผมก็มีความสุขที่ได้ร่วมงานกับพีพี เขาเป็นคนดีมากๆ และสมควรได้รับความรักจากทุกคน ส่วนกับผม เขาก็ดีมากๆ ขอบคุณแฟนๆที่ติดตามและให้การสนับสนุนทั้งตัวเราและงานของเราตลอด”

เค้าก็มีอ้อนแซวเราเวลาอยากได้สร้อยคอมือ ต่างหู? “พีพีเป็นคนที่ชอบแฟชั่น ส่วนผมก็ทำงานหนักเก็บเงินใช้ชีวิตแบบพอเพียง (ยิ้ม) พีพีจะซื้อรถ ซื้อของตกแต่งตัว กระเป๋า สร้อยคอมือ ต่างหู ส่วนผมไม่ค่อยกล้าซื้อหรอกครับ (ยิ้ม)”
เวลาเค้าอ้อนเหมือนเราก็แพ้ทางนะ? “ก็โดนบ้างครับ แต่ผมว่าเขาอ้อนทุกคน เพราะมันเป็นลักษณะของเขา เขาอ้อนพ่อแม่หนักมากจนหลงกลซื้อของให้เขาตลอด ส่วนผมก็แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าไหวก็ทำ แต่ถ้าเว่อร์ไปก็คงต้องปฏิเสธ”
เค้าเคยซื้อของอะไรให้เราแล้วประทับใจมั้ยหรือเรามีแต่ให้? “พีพีเค้าทำเป็นพูดแบบนั้น แต่จริงๆ เค้าซื้อของให้ผมเรื่อยๆ และผมก็จะซื้อให้เค้ากลับ เวลาเราซื้อให้เค้าก็จะซื้อคืนให้เราเหมือนกัน เราก็จะเล่นมุกกันแบบนี้ แต่ว่าจริงๆ ทั้งผมและพีพีก็เกรงใจกันตลอด ไม่ได้มีการเปย์กันอย่างที่พูดกัน พีพีเค้าเป็นคนใจดี ดูแลคนรอบตัวได้ดีมาก เค้าชอบซื้อขนมฝากคนที่กองอยู่เสมอ”
เค้าแกล้งเปรยๆอยากได้นั่นนี่ แล้วเราล่ะเคยรีเควสอยากได้อะไรมั้ย? “ผมไม่ค่อยจะขออะไรหรอกครับ จริงๆ ผมไม่ค่อยชอบรับของเท่าไหร่ เพราะรู้สึกเกรงใจ ของบางอย่างที่จำเป็นก็ซื้อมาเอง แต่บางครั้งถ้ามีคนให้อะไรเรา เราก็รู้สึกว่ามันมีคุณค่าทางความรู้สึก แต่ก็รู้สึกดีใจที่เขานึกถึงเรา มันทำให้เราอยากให้อะไรกลับคืนเขาบ้าง”
ประโยคที่ทั้งคู่บอกว่าต่างคนต่างขาดกันไม่ได้ทำแฟนๆอิน แปลว่าเราเดินไปด้วยกันได้อีกยาว เพราะช่วงแรกที่จบโปรเจกต์BKPP แฟนๆก็กลัวว่าจะต้องแยกกัน?
“จริงๆ แล้วงานของทั้งพีพีและผมมันมีหลายส่วนที่ทำแยกกัน พวกเราก็เริ่มต้นมาพร้อมกันและทำงานด้วยกันจนจบโปรเจกต์ BKPP พอจบก็มีงานส่วนตัวของแต่ละคน พีพีก็มีงานเพลง งานแสดง แฟนมีต ส่วนผมก็มีงานเพลง งานแสดง งานแฟนมีตเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำงานด้วยกันตลอด แต่ก็ยังมีหลายอย่างที่เราทำร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นโชว์ต่างๆ งานพรีเซนเตอร์ หรือโอกาสที่จะได้ทำงานด้วยกันในอนาคต เรายังยินดีและแฮปปี้ที่จะทำงานร่วมกันเสมอ”
คุยกันทุกวันมั้ย? “ก็เกือบๆ นะ จริงๆ ก็เหมือนทุกคนที่คุยกัน ผู้จัดการของผมก็จะคุยกับผู้จัดการของพีพี ไม่ได้คุยทุกวัน แต่ก็สม่ำเสมอ บางครั้งผู้จัดการผมก็โทรหาผู้จัดการพีพีแล้วคุยกันเล่นๆ ทุกคนทำงานร่วมกันเป็นทีม ช่วยเหลือและปรึกษากันตลอดเวลา”
ก้าวต่อไปของบิวกิ้นที่อยากพัฒนาตัวเอง? “จริงๆ มันมีหลายอย่างที่อยากพัฒนา ทั้งในเรื่องสกิลการร้อง การเพอร์ฟอร์ม การแสดง หรือแม้กระทั่งรูปแบบงานที่เราทำ ตอนนี้ก็ยังมีอะไรที่สามารถพัฒนาได้อีกเยอะ ตั้งแต่เปิดบริษัทมายังทำงานกันอย่างเต็มที่ ยังมีอะไรให้เราเรียนรู้และไปข้างหน้าได้อีกมาก”

เกือบ 1 ปีของบริษัทแข็งแรงขึ้นมั้ย? “จากที่เปิดบริษัทมาจนถึงตอนนี้รู้สึกว่าบริษัทยังไม่หยุดเดินเลย งานเราค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเพลง แฟนมีต ทั้งผมและพีพีต่างก็แบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ให้กันและกัน ถ้าเกิดมีข้อผิดพลาดเราก็จะช่วยกันแก้ไขและพัฒนาในอนาคต ต่อให้เป็นงานของพีพีที่ไม่ได้เกี่ยวกับผม แต่มันก็ยังเป็นการเรียนรู้และซัพพอร์ตกันอยู่ดี สองบริษัทนี้ปรึกษากันตลอดเหมือนบริษัทเดียวกัน”
ถามถึงการเป็นคนดังมีแฮชแท็กโซเชียลในทุกการขยับตัว เราตั้งรับกับชีวิตที่เป็นแบบนี้ยังไง?
“ผมคิดว่าความคิดและความเห็นของแต่ละคนมันมีความหลากหลาย บางคนชื่นชอบเรา สนับสนุนเราให้กำลังใจเต็มที่ แต่บางคนก็อาจจะไม่ชอบเราเลยก็มี เราก็ต้องเลือกที่จะรับสิ่งที่เป็นประโยชน์และพัฒนาตัวเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องรับฟังแต่สิ่งที่ดีนะครับ เราต้องพิจารณาคำติชมให้ดีว่าเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลหรือไม่ บางทีคำชมที่มากเกินไปเราก็ต้องคิดดูว่าเราคงไม่ดีขนาดนั้นหรอก สิ่งที่เราควรรับก็คือสิ่งที่สามารถพัฒนาเราได้จริงๆ”
เราคัดกรองมันได้ดีกว่าเมื่อก่อนมั้ย? “ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องยากนะที่จะบอกว่าคอมเมนต์ที่ทำร้ายจิตใจจะไม่ทำให้เรารู้สึก เราก็เป็นคนเหมือนกัน คงไม่หลีกเลี่ยงความรู้สึกนั้นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราก็สามารถจัดการกับมันได้ดีขึ้น และที่สำคัญคือเราต้องไม่ให้มันมาทำลายความมั่นใจในตัวเอง”
เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย
