เมื่อแดดเริ่มอ่อนแรงและลมพัดเย็นๆ เสียงดนตรีแจ๊สและบลูส์จากเทศกาลดนตรีในเมืองปายกลับยิ่งเพิ่มความไพเราะและความอบอุ่นให้กับบรรยากาศได้อย่างลงตัว
นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศต่างทยอยเข้ามาเพิ่ม เสียงพูดคุยและหัวเราะเติมเต็มบรรยากาศให้เต็มไปด้วยความสุขและความสนุกสนาน
พี่โอ๊ต...ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการ ททท. กล่าวถึงงาน “Pai Jazz & Blues 2019” ที่จัดขึ้นโดย ททท.สำนักงานแม่ฮ่องสอน ร่วมกับ HIP Magazine โดยมีเป้าหมายให้ผู้คนได้สัมผัสความงามของปายในฤดูฝน พร้อมชมความเขียวขจีของทุ่งข้าวและฟังเสียงดนตรีที่ประสานกับธรรมชาติ ช่วยเพิ่มสีสันให้เมืองปาย
พี่โหน่ง สมชาย ขันอาษา บรรณาธิการ HIP Magazine และผู้ที่เป็นหัวเรือใหญ่ของงานกล่าวว่าโจทย์สำคัญของงานคือการจัดเทศกาลในช่วงฤดูฝน เนื่องจากในช่วงนี้เมืองปายค่อนข้างเงียบและมีนักท่องเที่ยวจำนวนน้อย แต่การนำดนตรีแจ๊สและบลูส์มาสร้างสีสันกลับได้รับผลตอบรับที่เกินคาดจากผู้เข้าร่วมงาน

ผู้ชมมาเพื่อดนตรี นักดนตรีได้แสดงออกเต็มที่ ปีนี้มี 21 ศิลปิน โดยทดลองขยายเวทีให้ยาวขึ้นเพื่อให้เห็นพัฒนาการของนักดนตรีที่ไม่จำเป็นต้องเล่นเพลงฮิตหรือเป็นที่รู้จัก แต่ก็มีคนมาฟังและสนใจ นอกจากนี้ยังมีแผนจะนำดนตรีของชาวปกาเกอะญอและดนตรีชาติพันธุ์ในวง ‘คลี โพ’ มาผสมผสานกับดนตรีสมัยใหม่ในปีหน้า...ถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมมาร่วมฟังกันนะ

เมื่อได้ฟังทั้ง พี่โอ๊ต...และ พี่โหน่ง เชิญชวนขนาดนี้ ก็ทำให้รู้สึกเห็นด้วยว่าใครที่บอกว่าหน้าฝนไม่เหมาะเที่ยว หรือคิดว่าเป็น Low Season นั้น ต้องเถียงเลยว่าไม่จริง ฤดูฝนที่เขียวขจีนี้มีเสน่ห์ไม่น้อย ทุ่งนาสีเขียว อากาศเย็นๆ และกลิ่นฝน ทำให้การเดินทางไปปายในช่วงนี้ยิ่งมีความสุข น่าผจญภัย และน่าค้นหา
ความสุขในวันที่ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยการเจริญเติบโตของพืชพรรณในช่วงฤดูฝน

หลังฝนตก ฟ้าเริ่มเปิดเป็นสีฟ้าใส เราปั่นจักรยานเลาะไปตามคันนา ผ่านถนนเล็กๆ ในเมืองปาย มุ่งหน้าไปยังวัดพระธาตุแม่เย็น วัดศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ใกล้ตัวเมือง ที่นี่มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่เหมาะแก่การกราบไหว้ คือ พระพุทธโลกุตระมหามุนี

หมอกบางๆ ลอยอยู่เหนือยอดเขา มองเห็นพระพุทธรูปสีขาวตั้งตระหง่านอยู่บนเขา แม้ต้องปีนบันไดหลายขั้น แต่ความศรัทธาและความงดงามของสถานที่ทำให้เราก้าวเดินไปจนถึงด้านหน้าองค์พระพุทธรูปในเวลาไม่นาน ในขณะที่เราคิดถึงเรื่องที่ฝรั่งหลายคนบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาปาย เช่ามอเตอร์ไซค์ขี่ไปทั่วเมือง หาที่พักยาวๆ กับเงินแค่ 2,000 บาทก็เพียงพอ เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้จ่ายในบ้านตัวเองที่เงินเท่านี้หมดเร็วมาก
ในเมืองปาย มีร้านอาหาร Vegan ที่ชื่อดังมากๆ คือ ร้านเอิร์ธ โทน (Earth Tone) ที่รวมคนรักสุขภาพทั้งชาวไทยและต่างชาติ ร้านนี้มีอาหารมังสวิรัติในสไตล์โมเดิร์น ฟิวชัน เบเกอรีจากวัตถุดิบออร์แกนิก และอาหารที่ปราศจากกลูเต็น (Gluten-free) ใครมาปายก็ต้องไม่พลาดร้านนี้ และยังมีสินค้าที่หาซื้อไม่ได้ในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เช่น ชาอินเดีย Chai Tea กลิ่นหอมรัญจวนจากกานพลู ไปจนถึงน้ำมันอโรม่าและสมุนไพรจากธรรมชาติ

ก่อนกลับที่พัก เราแวะเช็คอินที่สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย สะพานที่ถูกใช้โดยกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อขนส่งเสบียงและอาวุธจากเชียงใหม่ไปยังพม่า สะพานเดิมเป็นไม้ แต่เมื่อสงครามจบลง สะพานถูกเผาทิ้งและต่อมามีการสร้างใหม่โดยใช้สะพานเหล็กจากสะพานนวรัฐที่เชียงใหม่แทน
ปัจจุบัน หากใครเดินทางจากเชียงใหม่มายังปาย ต้องข้ามสะพานประวัติศาสตร์แห่งนี้ เพื่อเข้าสู่ลำน้ำปายและเข้าสู่ตัวอำเภอปาย ซึ่งถือเป็นจุดแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง ที่เชิงสะพานยังมีร้านขายของที่ระลึกเล็กๆ ให้เลือกซื้อกันอีกด้วย

เมื่อค่ำลง เมืองปายกลับคึกคักอีกครั้ง เทศกาลดนตรี Jazz and Blues สัญจรไปตามจุดต่างๆ ในเมือง สร้างความน่ารักและประทับใจ สำหรับถนนคนเดิน ร้านสตรีทฟู้ดต่างๆ เริ่มทยอยเปิด มีทั้งขนมไทยโบราณ อาหารจานด่วนอย่างก๋วยเตี๋ยวผัด หรือที่เรียกกันว่าก๋วยเตี๋ยวถังแตก รวมถึงปิ้งย่างต่างๆ และเครื่องดื่มสมุนไพรที่มีทั้งร้อนและเย็น นอกจากนี้ยังมีเสื้อผ้าพื้นเมือง เสื้อยืดพิมพ์ลายที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อเป็นของที่ระลึก รวมไปถึงกระเป๋าและรองเท้า ช็อปกันเพลินจนกระเป๋าแทบขาดเลยทีเดียว

อีกหนึ่งเสน่ห์ของเมืองเล็กๆ อย่างปาย คืออาหารที่ใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นที่ปลูกแบบปลอดสารเคมี งานนี้มีการจัด Workshop ทำอาหารและเครื่องดื่มจากดอกไม้ โดยป้าจาย แม่มดแห่งอาหารดอกไม้ ที่พามาทำข้าวมันส้มตำดอกไม้ ขนมกล้วย และขนมฟักทอง อย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอน จนรสชาติออกมาฟินและอร่อยมากๆ
หลังจากกลับจากปาย มีโอกาสแวะเที่ยวชุมชนหมอกจำแป่ ดินแดนแห่งแม่น้ำสองสาย คือ แม่น้ำสะงีและแม่น้ำสะงา ในเขตอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ชื่อหมู่บ้านนั้นเล่าถึงตำนานของชาวไทยใหญ่จากรัฐฉาน คำว่า 'หมอกจำแป่' ในภาษาไทยใหญ่นั้น หมายถึง 'ดอกลั่นทม' หรือ 'ดอกลีลาวดี' ซึ่งขึ้นอยู่มากมายในหมู่บ้าน
หลังจากเดินทางกลับจากปาย บอกเลยว่าเสน่ห์ของเมืองนี้ในอ้อมกอดขุนเขาทำให้หลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้น ถึงแม้จะต้องขับรถฝ่าทางที่มีโค้งมากกว่าพันโค้ง แต่ก็ยินดีที่จะเดินทางไปสัมผัสความสุขแท้จริงอีกครั้งที่ปาย