หนึ่งในปรากฏการณ์แห่งพลังศรัทธาของชาวไทยที่เกิดขึ้นทุกปี คือการเดินทางขึ้นเขาคิชฌกูฏเพื่อไปนมัสการรอยพระพุทธบาท ด้วยความเชื่อว่าผู้ที่มาขอพรจะสมปรารถนากันทุกคน และปีนี้ปรากฏการณ์นี้กำลังจะกลับมาอีกครั้ง!
ทางด้านผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีได้เตรียมการสำหรับการเดินทางไปนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวง เขาคิชฌกูฏ โดยจะเปิดให้พุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางขึ้นเขาได้ตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. 2559 พร้อมทั้งตั้งหน่วยบริการตลอด 24 ชั่วโมง
ที่เขาคิชฌกูฏถือเป็นรอยพระพุทธบาทที่สูงที่สุดในประเทศไทย หากใครที่อยากทดสอบความแข็งแกร่งของขาและขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในท่ามกลางวิวทิวทัศน์ที่สวยงามบนเขา ปีนี้ต้องเตรียมตัวกันให้ดี และวันนี้ Mytourออนไลน์ จะมาแนะนำคู่มือการท่องเที่ยวเพื่อการเดินทางขึ้นเขาคิชฌกูฏให้แก่ทุกคน
1. สามารถเดินทางไปเองได้โดยบริการของ ขสมก.
หากคุณไม่มีรถส่วนตัว แต่ต้องการไปเขาคิชฌกูฏ ก็สามารถเดินทางได้ง่ายๆ ด้วยบริการรถบัสจาก ขสมก. ซึ่งเป็นทัวร์ที่พาคุณไปนมัสการพระพุทธบาทที่เขาคิชฌกูฏโดยเฉพาะ จากกรุงเทพฯ ถึงวัดกระทิง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมทั้งค่ารถกระบะขึ้นเขาไป-กลับ ก็ประมาณพันกว่าบาทเท่านั้น
อัตราค่าโดยสารอยู่ที่ 479 บาทต่อคน (ไม่รวมค่ารถขึ้นเขาคิชฌกูฏ 200 บาทต่อคน) โดยรถออกจากอู่บางเขนเวลา 06.30 น. ทุกวันอังคาร, พฤหัสบดี, เสาร์ และอาทิตย์ และคุณยังสามารถขึ้นรถที่จุดต่างๆ ระหว่างทางได้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อสำรองที่นั่งที่ เขตการเดินรถที่ 1 (อู่บางเขน ขสมก.) โทร. 0-2551-2492, 0-2552-0885-6 และ 08-1847-1403

2. ไม่ต้องกังวลเรื่องอากาศร้อนมากนัก
บางคนอาจจะคิดว่าการเดินขึ้นเขากลางวันจะร้อนจัด จึงเลือกที่จะขึ้นในช่วงกลางคืนหรือเช้ามืด แต่บอกเลยว่าอากาศบนเขาคิชฌกูฏไม่ได้ร้อนถึงขนาดนั้น ระหว่างทางมีร่มไม้ให้ความร่มรื่น พอเดินขึ้นเขาช่วงเช้าหรือสายก็สบายๆ อากาศเย็นพัดมาเบาๆ แม้จะร้อนตอนเดินขึ้นก็ถือว่าไม่ถึงกับทรมาน โดยรวมแล้วแนะนำให้เดินทางถึงตีนเขาประมาณ 8-9 โมงเช้าจะดีที่สุด
3. ใส่เสื้อผ้าที่สบายตัวก็พอ
เมื่อมาถึงวัดแล้ว คุณจะต้องนั่งรถกระบะขึ้นเขาไปตามถนนที่ยาว 8 กิโลเมตร จากนั้นต้องเดินเท้าต่ออีกประมาณ 1.2 กิโลเมตร หรือราวๆ 40 นาที สำหรับเสื้อผ้าควรเลือกใส่สบายๆ ไม่หนาเกินไป เพราะเมื่อเดินขึ้นเขาคุณจะมีเหงื่อออก และทางวัดมีข้อกำหนดที่ค่อนข้างเคร่งครัด ห้ามใส่เสื้อสายเดี่ยว ชุดเปิดเผย หรือกางเกงขาสั้น ขึ้นเขาไป จะต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย ถ้าใครแต่งไม่เหมาะสมก็สามารถเช่าผ้าถุงที่จุดไหว้ได้
ส่วนรองเท้านั้น ควรเลือกให้เหมาะสม ควรเป็นรองเท้าที่หุ้มส้นหรือรองเท้าผ้าใบที่กระชับเท้า เพื่อการเดินทางไกลอย่างสะดวกสบายและไม่ทำให้เท้าเมื่อย เพราะบางช่วงทางขึ้นเขาค่อนข้างชัน และบางครั้งอาจมีฝนตกพรำๆ ทำให้พื้นทางลื่น ดังนั้นต้องเลือกรองเท้าที่ให้ความมั่นคงในการเดินขึ้นเขาได้อย่างปลอดภัย

4. มีเสลี่ยงบริการ
สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่สามารถเดินขึ้นเขาได้ ทางวัดมีบริการเสลี่ยงสำหรับการขึ้นเขา ราคาอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ซึ่งระหว่างทางมีร่มไม้คอยให้ความร่มรื่น และมีลมพัดมาเป็นระยะไม่ทำให้ร้อนมาก แต่เมื่อถึงยอดเขาแล้วอากาศจะเย็นสบาย มีลมพัดตลอดเวลา และยังมีน้ำชาและน้ำขิงให้ดื่มเพื่อช่วยคลายความเหนื่อยล้าหลังจากเดินขึ้นเขามา
5. จุดเด่นคือรถกระบะ
การเดินทางไปที่นี่จะไม่สมบูรณ์ถ้าไม่ได้สัมผัสกับการนั่งรถกระบะขึ้นเขา ซึ่งเส้นทางที่ต้องผ่านนั้นค่อนข้างท้าทาย แต่ก็ถือเป็นเสน่ห์ของการเดินทางที่นี้ เพราะคุณจะได้ชมการขับขี่สุดคลาสสิกจากคนขับที่มีทักษะสูง บางช่วงจะต้องขับสลับเลน และคนขับต้องเตรียมตัวฝึกซ้อมในการขับเส้นทางนี้อยู่หลายเดือนเลยทีเดียว
6. จุดเด่นที่ต้องไปสักการะ
จุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปคือ รอยพระพุทธบาท และหินก้อนใหญ่ที่ตั้งโดดเด่นบนหน้าผา เชื่อกันว่า การเดินมาถึงจุดนี้ถือเป็นการทดสอบพลังศรัทธาของตัวเอง และผู้คนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ก็มีความเชื่อว่าเมื่อขอพรแล้วจะสมปรารถนา ไม่ว่าจะขอเรื่องการงาน สุขภาพ ความรัก หรือโชคลาภ แต่ขอได้เพียงแค่ 1 เรื่องเท่านั้น และขอพรตรงจุดรอยพระพุทธบาท

7. วิธีการไหว้ขอพร
การขอพรให้สมหวังนั้นต้องทำตามวิธีที่ถูกต้องก่อน โดยที่กูรูแนะนำว่า ก่อนจะเดินไปถึงที่ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาท ให้สังเกตพระพุทธรูปต่างๆ ตลอดเส้นทางที่มีอยู่ทั้งสองข้างทาง ซึ่งควรจุดธูปไหว้ให้ครบ เพื่อให้พรที่ขอเป็นจริงตามที่ตั้งใจ
เมื่อเดินทางมาถึงที่รอยพระพุทธบาทแล้ว จะต้องทำการสักการะด้วยพลอยและดอกดาวเรือง โดยเลือกใช้พลอยตามวันเกิด ปีเกิด หรือเดือนเกิด ซึ่งพลอยแต่ละชนิดจะมีสีแตกต่างกันไป นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายกระดาษสำหรับปิดทอง ซึ่งสามารถหาซื้อได้ทั้งที่ด้านล่างที่ตีนเขา หรือจะซื้อที่ด้านบนก็มีขายเช่นกัน
8. สำหรับหนุ่มสาวพลังเต็ม เดินต่อไปอีก!
นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเดินขึ้นไปอีก ซึ่งบางช่วงเส้นทางจะค่อนข้างชันและท้าทาย หากอากาศเย็นจะมีหมอกลงมาปกคลุม ตรงนี้คือจุดที่เรียกว่า ผ้าแดง ซึ่งเหมาะมากสำหรับคนหนุ่มสาวที่ยังมีกำลัง (ไม่แนะนำให้ผู้สูงอายุเดินต่อ) สามารถเดินต่อไปประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อชมวิวทิวทัศน์ และสามารถไปเขียนคำขอพรที่ผ้าแดง เชื่อกันว่าพรจะสมหวังดังใจ
แม้ว่าไฮไลต์หลักของการขอพรคือการไปที่รอยพระพุทธบาท แต่การไปขอพรที่ผ้าแดงก็ถือเป็นกิมมิกที่น่าสนใจอีกแบบ ใครที่มีแรงก็สามารถไปขอพรทั้งสองจุดได้ไม่ผิดกติกาเลย

9. ช่วยกันดูแลรักษาความสะอาด
แนะนำไม่ให้เอาขยะพลาสติกต่างๆ เช่น ขวดน้ำ หรือห่อขนมขึ้นไปบนเขา เพราะจะเพิ่มภาระให้เจ้าหน้าที่ต้องจัดการขยะจำนวนมาก เมื่อขึ้นไปข้างบนหากซื้อของกินก็ต้องช่วยกันทิ้งขยะลงในถังตามจุดที่กำหนด เพื่อรักษาความสะอาดให้กับสถานที่
10. เตรียมใจสำหรับการรอรถขึ้นเขาและความแออัดของผู้คน
เนื่องจากในแต่ละปีมีผู้คนจำนวนมากเดินทางไปสักการะที่รอยพระพุทธบาท พื้นที่บนเขาจึงมีข้อจำกัดในการรองรับผู้คนได้มากนัก เจ้าหน้าที่ต้องมีการจัดระบบการเดินทางขึ้นและลงแบบเป็นรอบๆ โดยผู้ที่ขึ้นไปก่อนจะต้องรอให้คนข้างบนไหว้เสร็จและเดินลงมาก่อนถึงจะปล่อยให้กลุ่มถัดไปขึ้นไปได้ ดังนั้นควรเตรียมใจเรื่องการรอคอยรถขึ้นเขาและการเดินในพื้นที่แออัด ซึ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ