โขน ศิลปะการแสดงอันล้ำค่าของไทยที่ควรค่าแก่การสืบสาน ได้ถูกถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการแสดงบนเวทีอย่างงดงาม ทั้งเสียงดนตรีที่ไพเราะและเทคนิคการแต่งหน้าโขนที่สะกดสายตาผู้ชม
'มันคือศาสตร์โบราณที่ยังคงมีชีวิตและไม่มีวันสูญหาย'
"Mytourออนไลน์" ได้รับโอกาสพิเศษไปชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและการแสดงโขนพระราชทาน พร้อมพบกับคุณมนตรี วัดละเอียด คณะกรรมการจัดการแสดงโขนพระราชทานและปรมาจารย์ด้านการแต่งหน้าโขน จึงไม่พลาดที่จะสัมภาษณ์อาจารย์ถึงที่มาและขั้นตอนการแต่งหน้าโขนอย่างละเอียด เพื่อให้แฟนๆ ได้รับรู้กันอย่างเต็มที่…!
เฟส 1 - จุดกำเนิดของการแต่งหน้าโขน … สู่การเป็นปรมาจารย์
Q : เริ่มต้นการแต่งหน้าโขนได้อย่างไร และมีแรงบันดาลใจจากอะไร ?
ผมมีโอกาสเริ่มแต่งหน้าโขนจากการชักชวนของคุณหญิงต้น หม่อมหลวงปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ตอนนั้นผมเป็นช่างแต่งหน้าและได้ทำงานให้คุณหญิงในภาพยนตร์เรื่องสุริโยทัย คุณหญิงเห็นแววและความสนใจของผมในศิลปวัฒนธรรม จึงชวนให้มาทดลองแต่งหน้าโขนหลังจากจบโปรเจกต์ สมเด็จฯ มีพระราชดำริอยากปรับการแต่งหน้าโขนให้สวยงามและเป็นไทยมากขึ้น ผมจึงได้เริ่มทดลองจากการแสดงจริง และค่อยๆ ปรับปรุงตามพระราชวิจารณ์ที่ได้รับมาเรื่อยๆ …
Q : ใช้เวลาในการฝึกฝนนานแค่ไหน ?
ผมค่อยๆ ทดลองทำและปรับปรุงไปเรื่อยๆ จนเมื่อมีการวางแผนทำหนังสือและการแสดงจริง ผมจึงต้องค้นคว้าหาข้อมูลและแหล่งอ้างอิงอย่างหนัก เพราะทุกอย่างต้องมีหลักฐานรองรับ ใช้เวลาพอสมควรในการทำงานชิ้นนี้ โดยได้รับความร่วมมือจากครูศิลปะโขนหลายท่านที่ช่วยเป็นแบบให้ ทดลองแต่งหลายรูปแบบจนมาถึงการแสดงจริง ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ท้าทายและเหนื่อยมาก
Q : แรงบันดาลใจในการแต่งหน้าโขนคืออะไร ?
เริ่มต้นด้วยการโทรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ท่านแรกคืออาจารย์จักรพันธ์ ถามถึงวิธีการทำเมคอัพที่ดูเป็นไทย เพราะตอนนั้นยังไม่รู้ว่าต้องดูจากอะไร อาจารย์แนะนำให้สังเกตที่คิ้วว่าควรเป็นแบบไหน แม้จะไม่บอกชัดเจนแต่ให้ลองศึกษาคิ้วเป็นหลัก ผมลองทำแล้วยังรู้สึกไม่ถูกใจนัก มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องหาความสมดุลของหน้าและค้นคว้าจากภาพวาด ภาพถ่าย และการแสดงโขนจริง จนในที่สุดก็พบวิธีที่เหมาะสม

Q : หลังจากนั้นทำอย่างไรต่อ ?
หลังจากนั้นก็เจอปัญหากับการเขียนเส้นขอบตา จึงไปปรึกษาคุณแม่ส่องชาติ ชื่นศิริ ศิลปินแห่งชาติ ผมให้ท่านดูเมคอัพที่ทำไว้ ท่านบอกว่ายังไม่ใช่และต้องปรับอีก ท่านอธิบายเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ จนท่านจับมือสอนเขียนเส้นขอบตาเอง (หัวเราะ) ท่านบอกว่าเส้นขอบตาต้องเป็นแบบนี้ ผมติดปัญหาที่คิ้วไทยแต่ตาดูเหมือนบัลเล่ต์ หาเส้นขอบตาที่เหมาะไม่เจอ จนคุณแม่จับมือสอนและบอกวิธีที่ถูกต้อง ผมถึงเข้าใจ ใช้เวลาปรับปรุงอยู่นานกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่พอใจ
Q : ใช้เวลาลองผิดลองถูกประมาณกี่ปี ?
ก่อนเริ่มทำหนังสือใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีในการลองผิดลองถูก ส่วนใหญ่จะปรึกษาครูอาจารย์ว่าผลงานเป็นอย่างไร จนได้รูปแบบที่สมเด็จฯ ท่านทอดพระเนตรและทรงพอใจ หลังจากนั้นเมื่อเริ่มงานพรหมมาศ ครั้งแรกดูมีเสน่ห์ แต่ปีล่าสุดสวยงามและลงตัวมากขึ้น จนถึงปีนี้ถือว่าได้รูปแบบที่เหมาะสม หน้าดูเป็นไทยชัดเจน เมื่ออยู่บนเวทีหรือใกล้ชิดก็ไม่น่ากลัวเกินไป นักแสดงเห็นหน้าตัวเองแล้วรู้สึกดี ไม่รู้สึกอึดอัด
Q : ครูที่อาจารย์ปรึกษาได้สอนเทคนิคอะไรบ้าง ?
มีหลายท่านมาก แต่ละท่านจะสอนเทคนิคสมัยท่านแต่งหน้าโขน เรานำข้อมูลเหล่านี้รวมกับการศึกษาจากภาพมาปรับให้เข้ากับยุคปัจจุบัน เราแต่งหน้าให้ทันสมัยสำหรับโขนพระราชทานในสมัยรัชกาลที่ 9 ท่านสอนเทคนิคการทำเส้นขอบตาให้ตรง เส้นคิ้วให้โค้งเหมือนคันศร รวมถึงแก้มและปาก ท่านสอนทุกอย่าง เรานำมาปรับให้ดูสวยงาม ต้องเข้าใจว่าการแสดงโขน นักแสดงจะไม่ยิ้มเห็นฟัน เราจึงต้องวาดให้เป็นหน้ายิ้ม คิดเสมือนว่านี่คือหัวโขนอีกหัวหนึ่ง เพราะโขนใช้ท่าทางสื่ออารมณ์ ไม่ใช่สีหน้า หน้าต้องเฉยๆ นักแสดงต้องเข้าใจและทำได้เนี๊ยบ

เฟส 2 - ขั้นตอนการแต่งหน้าโขน …!
Q : ขั้นตอนการแต่งหน้าโขนเป็นอย่างไร ?
ในการแต่งหน้าโขน เราไม่ได้ใช้เทคนิคโบราณ แต่ใช้เทคนิคสมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่การเตรียมผิว ทำความสะอาด บำรุงผิว แล้วจึงลงเมคอัพ ขั้นตอนคล้ายกับการแต่งหน้าทั่วไป
Q : การแต่งหน้าโขนเริ่มจากส่วนไหนก่อน ?
เราเริ่มจากส่วนบนลงล่าง หลังจากเตรียมรองพื้นเสร็จ จะเริ่มที่เส้นขอบตา ซึ่งเราเรียกว่าเส้นขอบตาแทนอายไลเนอร์ ต้องวาดเส้นให้ตรงก่อนแล้วสะบัดหางตามทิศทางที่ต้องการ (ต้องฝึกมือบ่อยๆ ได้แรงบันดาลใจจากภาพจิตรกรรมไทย ช่างแต่งหน้าที่ฝึกวาดเส้นเก่งจะทำงานได้ง่ายขึ้น) จากนั้นคือคิ้ว ก่อนวาดคิ้วต้องลบคิ้วเดิมออกก่อน แล้ววาดใหม่ให้โค้งเหมือนคันศร ใช้หลักจากจิตรกรรมไทย ใช้เวลาพอสมควร จากนั้นคือแก้มและปาก ใช้เทคนิคการทำแสงเงาบนหน้าแบบสมัยใหม่



Q : เครื่องสำอางที่ใช้ในการแต่งหน้าโขนมีอะไรบ้าง ?
ปกติต้องใช้เครื่องสำอางกันน้ำเพื่อป้องกันเหงื่อ เพราะการแสดงบนเวทีมีไฟและชุดที่ร้อน หากใช้เครื่องสำอางทั่วไปอาจทำให้ไหล เลอะเทอะได้ ! (หัวเราะ)
Q : เครื่องสำอางหลักที่จำเป็นมีอะไรบ้าง ?
แน่นอนว่าต้องมีรองพื้นและแป้งเพื่อให้ผิวหน้าเรียบเนียน เฉดสีของรองพื้นจะช่วยสร้างแสงเงาบนหน้า นอกจากนี้ยังต้องมีดินสอเขียนคิ้วและอายไลเนอร์ (สีแดงและสีดำ)
Q : มีการเลือกเฉดสีเฉพาะสำหรับการแต่งหน้าโขนหรือไม่ ?
มีการใช้เฉดสีเฉพาะ เช่น สีขาว สีดำ และสีแดง สีขาวสำหรับผิวหน้า แต่เลือกเป็นขาวผ่องไม่ใช่ขาวโพลน สีดำสำหรับเส้นคิ้วและเส้นขอบตา ส่วนสีแดงใช้ที่แก้มและปาก เพื่อให้เมคอัพดูสวยงามเมื่ออยู่บนเวที หน้านักแสดงต้องเป็นโครงเดียวกัน เพื่อให้เข้ากับหน้ายักษ์หรือหน้าลิง เหมือนเป็นหน้ากากอีกชิ้นหนึ่ง

Q : การแต่งหน้าตัวพระและตัวนางเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?
วิธีการแต่งหน้าใกล้เคียงกัน แต่ต่างกันที่สไตล์ของเส้นคิ้วและทรงคิ้ว อิงจากภาพจิตรกรรมไทยและหัวโขนเดิม คิ้วตัวพระต้องดูใหญ่ แข็งแรง และสง่า ส่วนคิ้วตัวนางต้องดูสงบ สิ่งที่ยากที่สุดคือการทำให้หน้าคนดูสวยเมื่อนำมาใช้
Q : การแต่งหน้าตัวพระและตัวนางใช้เวลาประมาณกี่นาที ?
ปกติใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงต่อหน้า เพราะช่างแต่งหน้าหนึ่งคนต้องรับผิดชอบอย่างน้อย 3 หน้า หากไม่ทำเช่นนั้นจะต้องใช้ช่างจำนวนมาก เนื่องจากมีนักแสดงเยอะและเวลาจำกัด เราจึงพยายามให้ช่างแต่ละคนทำงานได้หลายหน้า เวลาเฉลี่ยจึงอยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อหน้า
Q : การแต่งหน้าโขนยากหรือง่ายกว่าการแต่งหน้าทั่วไปอย่างไร ?
การแต่งหน้าโขน...ช่างต้องฝึกฝนการวาดเส้นเป็นประจำและมีความรู้ด้านการแต่งหน้าสำหรับการแสดงบนเวที ซึ่งถือว่ายากกว่าการแต่งหน้าทั่วไป ส่วนการแต่งหน้าตัวเองนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ชัดเจน

Q : แล้วแตกต่างจากการแต่งหน้าละครหรือเวทีอื่นๆ ไหม ?
จริงๆ แล้วไม่ต่างกันมากนัก ขั้นตอนการแต่งหน้าเหมือนกันทุกอย่าง ใช้เทคนิคสมัยใหม่ตั้งแต่การเตรียมผิว รองพื้น และอื่นๆ แต่โขนจะเน้นที่คิ้วและเส้นขอบตาเพื่อให้ดูเป็นไทยมากขึ้น
Q : ใช้เวลาในการฝึกฝนนานแค่ไหน ประมาณกี่ปี ?
จริงๆ แล้วใช้เวลาไม่กี่เดือน ไม่จำเป็นต้องฝึกทุกวัน ส่วนใหญ่ก่อนการแสดงจริง 1 สัปดาห์ ช่างแต่งหน้าจะมารวมตัวกันเพื่อฝึกแต่งหน้าและจำกัดเวลา เพราะต้องแต่งหน้าให้สวยตามแบบและเร็ว … สวยและเร็ว !!!
Q : สิ่งที่ต้องระวังในการแต่งหน้าโขนมีอะไรบ้าง ?
มี 2 สิ่งที่ต้องระวัง สิ่งแรกคือความสมดุลของหน้า ทั้งซ้ายและขวาต้องดูสวยเท่ากัน แต่งข้างเดียวไม่ยาก แต่สองข้างนี่สิ (หัวเราะ) บางคนฝึกแต่งเอง ด้านข้างดูดีแต่หน้าตรงกลับไม่สวย สิ่งสำคัญคือต้องลืมตาแล้วดูสวย เพราะนักแสดงต้องลืมตา อีกสิ่งคือขนตาปลอม เราไม่ใช้ขนตาปลอมในหน้าโขน เพราะหน้าโขนจริงก็ไม่ใส่ขนตาปลอม การแสดงอื่นๆ อาจใส่ขนตาปลอมแล้วดูดี แต่โขนต้องการความเป็นหน้ากากที่ดูเป็นไทยมากขึ้น การไม่ใช้ขนตาปลอมทำให้ดูเป็นไทยและไม่ดูแบ๊วหรือเป็นแฟชั่นเกินไป
Q : อะไรคือความแตกต่างที่ทำให้คนมองแล้วรู้ว่านี่คือศิลปะไทย ?
คิ้วโค้งและเส้นขอบตา (สำคัญมาก) มีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร คิ้วโค้งเหมือนคันศรซึ่งเข้ากับเครื่องประดับศีรษะ เช่น ชฎา หรือเครื่องแต่งกายไทยทุกชนิด ส่วนเส้นขอบตาของยุโรปมักยกหางตา แต่ของเราเน้นเส้นตรงแล้วพลิ้วเบาๆ
Q : เสน่ห์ของศาสตร์การแต่งหน้าโขนคืออะไร ?
คือการทำให้คนเห็นปุ๊บแล้วรู้ทันทีว่าเป็นเมคอัพของชาติไหน เราสามารถบอกได้ว่านี่คือศิลปะไทย (หัวเราะ) แค่เห็นหน้าก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ญี่ปุ่นหรือจีน หน้านี้เป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนในยุคสมัยของสมเด็จฯ

เฟส 3 - จุดสูงสุดของการแต่งหน้าโขน !
Q : คุณคิดว่าเสน่ห์ของโขนอยู่ที่อะไร ?
ทุกอย่างเลย เพราะโขนเป็นการแสดงนาฏศิลป์ชั้นสูงที่รวมศาสตร์และศิลปะทุกแขนงเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะโขนพระราชทานที่รวมงานหลายสาขาเข้าด้วยกัน จนได้ผลงานที่วิจิตรตระการตา
Q : คุณคิดว่าการแต่งหน้าโขนเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการแสดงหรือไม่ ?
การแต่งหน้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมการแสดง เป็นส่วนที่เล็กที่สุด จริงๆ แล้วยังมีส่วนอื่นๆ ที่สำคัญกว่ามาก เช่น นักแสดงโขนที่ฝึกฝนมานานกว่า 10 ปี หรือดนตรีที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้มากมาย เมคอัพใช้เวลาฝึกน้อยที่สุด แต่เป็นส่วนที่เห็นชัดเจนที่สุด (แม้จะเป็นจุดเล็กแต่ก็ช่วยเสริมและโดดเด่น)
Q : อาชีพช่างแต่งหน้าโขนเป็นอาชีพที่มั่นคงหรือไม่ ?
เราเรียกตัวเองว่าช่างแต่งหน้า แต่ไม่ถือว่าเป็นอาชีพหลัก เพราะโขนจัดแสดงไม่กี่ครั้งต่อปี เมื่อมีงานเราก็มาทำหน้าที่แต่งหน้า พอจบงานก็กลับไปเป็นช่างแต่งหน้าทั่วไป ถ้าถามว่าอาชีพช่างแต่งหน้ามั่นคงไหม … มั่นคงแน่นอน !!
Q : ณ ตอนนี้ พอใจกับผลงานที่ทำมาหรือยัง ?
คิดว่าหลายปีที่ผ่านมา ผลงานคงที่และน่าจะเป็นรูปแบบที่สามารถถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังได้แล้ว คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากไปกว่านี้ ในมุมมองของเรา งานของเราเป็นเพียงการจุดประกายให้คนรุ่นต่อไปพัฒนาต่อยอดได้มากกว่านี้ … เราต้องการพัฒนาเด็กและคนรุ่นใหม่ให้ทำงานนี้ได้ดีขึ้น
เฟส 4 - ข้อความถึงคนรุ่นหลัง....
Q : คุณคิดว่าคนรุ่นใหม่สนใจงานด้านนี้อย่างไรบ้าง ?
คนรุ่นใหม่สนใจมากขึ้น งานที่จัดบัตรเต็มตลอดทุกปี (ยิ้ม) จัด 50 รอบในปีนี้ … เมื่อถึงเวลาที่คนชอบ เขาก็จะชอบเอง ไม่จำเป็นต้องบังคับให้ใครมาชอบเหมือนกัน
Q : คนรุ่นใหม่ที่สนใจการแต่งหน้าโขน ต้องเรียนสายไหนเป็นพิเศษหรือไม่ ?
ต้องเรียนการแต่งหน้า หากอยากเป็นช่างแต่งหน้าก็ต้องเรียนแต่งหน้า แต่สิ่งที่สำคัญคือช่างแต่งหน้าต้องมีความรู้รอบตัว มีความรักและความสนใจในศิลปะ เพราะการทำงานด้วยความเข้าใจและความสุขจะทำให้ผลงานออกมาดีมากกว่าทำตามคำสั่ง
Q : แล้วต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เริ่มต้นจากพื้นฐานอะไร ?
ต้องฝึกฝน อาจเริ่มจากเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์และศึกษาจากภาพวาด เริ่มต้นด้วยการฝึกเขียนเส้นขอบตาให้ชำนาญ หากศึกษาภาพจิตรกรรมไทยประเพณี จะเข้าใจว่าเส้นไทยไม่ซับซ้อน แต่การวาดบนหน้ามีความยากเพราะหน้าไม่ใช่กระดาษหรือหัวหุ่น (ทุกอย่างสามารถเป็นศิลปะได้ ขึ้นอยู่กับการปรับใช้) บนหน้ามีความท้าทายเพราะโครงสร้างหน้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราใช้เทคนิคการแต่งหน้าสมัยใหม่เพื่อปรับโครงหน้าให้เป็นรูปไข่ก่อน เพื่อสร้างรูปสามเหลี่ยมจากเส้นขอบปาก หางตา และคิ้ว ให้เป็นไปตามรูปแบบจิตรกรรมไทย
Q : ต้องฝึกแต่งหน้ากับหน้าตัวเองหรือหน้าคนอื่น ?
ในฐานะช่างแต่งหน้า เราต้องฝึกกับหน้าคนอื่น ส่วนนักแสดงโขนต้องฝึกแต่งหน้าตัวเอง หากต้องทำด้วยตัวเอง แต่เราเป็นช่างแต่งหน้า ไม่ได้แสดง จึงต้องฝึกแต่งหน้าคนอื่น … ใช่ไหม? (หัวเราะ)

Q : สุดท้ายนี้ อยากเชิญชวนคนรุ่นใหม่ให้สนใจโขนมากขึ้นอย่างไร ?
อยากให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจศิลปะของชาติ ไม่ใช่แค่โขน แต่ด้านไหนที่ชอบก็ลองศึกษา ชีวิตไม่ได้มีทางเดียว มีหลายสิ่งให้ค้นหา ลองหาสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นหรือไม่เคยเจอ อาจจะพบสิ่งที่ชอบก็ได้
อ่านบทสัมภาษณ์กันอย่างจุใจแล้ว ใครสนใจอยากลองแต่งหน้าโขนก็สามารถนำเทคนิคของอาจารย์ไปใช้ได้ … แต่ต้องบอกเลยว่าการแต่งหน้าโขนไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีความตั้งใจ ละเอียดอ่อน และใจเย็นอย่างมาก !


นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติยังเปิดให้เข้าชมได้จนถึงวันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคมนี้....
**รู้หรือไม่ ?**
1. นอกจากอาจารย์ขวดจะสอนแต่งหน้าโขนแล้ว ยังเป็นอาจารย์ใหญ่ของสถาบันสอนแต่งหน้า MTI และสอนในคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ด้านการออกแบบแต่งหน้า (โขน, ละคร, เวที)
2. อาจารย์ยังทำงานเบื้องหลังภาพยนตร์ในส่วนการแต่งหน้าและดูแลเครื่องแต่งกายให้นักแสดงหลายคน เช่น ภาพยนตร์สุริโยทัย โรงแรมผี และภาพยนตร์ล่าสุดเรื่องแผลเก่า เป็นต้น.