ทราบหรือไม่ว่าผู้คนในกรุงเทพฯ และพนักงานออฟฟิศ 1 ใน 3 กำลังประสบปัญหาการขาดวิตามินดี (Vitamin D) หรือมีระดับวิตามินดีต่ำ เนื่องจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่ขาดการรับแสงแดดอย่างเพียงพอ ทำให้ผิวหนังไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้ตามปกติ
ทำความรู้จักกับ "วิตามินดี" ของดีที่อยู่ใกล้ตัว เราสามารถหาได้จากแสงแดดธรรมชาติ
วิตามินดี เป็นวิตามินที่หลายคนมักมองข้าม แต่ในความจริงแล้วคนไทยจำนวนไม่น้อยกำลังประสบปัญหาขาดวิตามินดี ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา
ร่างกายของเราสามารถสร้างวิตามินดีขึ้นได้เอง เมื่อได้รับการกระตุ้นจากรังสี UVB (Ultraviolet B ray) จากแสงแดด แต่คนไทยส่วนใหญ่ยังคงหลีกเลี่ยงแสงแดด อีกทั้งสีผิวที่เข้มของคนไทยทำให้มีปริมาณเม็ดสีเมลานินสูง ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด แต่ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นตัวกรองลดการซึมผ่านของรังสี UVB สู่ผิวได้เช่นกัน
คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้
ดังนั้น เพื่อป้องกันการขาดวิตามินดี ควรออกมาสัมผัสแสงแดดบ้าง โดยเฉพาะในช่วงเช้า ที่แสงแดดยังไม่แรงจนทำร้ายผิว เพื่อให้ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้ตามธรรมชาติ

วิตามินดีมีประโยชน์อย่างไร และช่วยอะไรได้บ้าง?
วิตามินดี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ซึ่งมีประโยชน์มากมาย ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส เพื่อรักษาสมดุลร่างกายและมวลกระดูก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน กระดูกบาง เพิ่มความแข็งแรงของกระดูก และช่วยลดอาการอักเสบเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ จึงเป็นวิตามินที่สำคัญสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ วิตามินดียังมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศ ทำหน้าที่เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายและช่วยเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิต จึงช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้
ผู้ที่ขาดวิตามินดี นอกจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูกแล้ว ยังเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มากกว่าผู้ที่ได้รับวิตามินดีในปริมาณที่เพียงพอ

แหล่งอาหารที่สามารถพบวิตามินดีได้มีอะไรบ้าง?
นอกจากแสงแดดแล้ว วิตามินดียังสามารถพบได้ในแหล่งอาหารธรรมชาติ เช่น ปลาไขมันสูง เช่น แซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาเทราต์ ปลาแมคเคอเรล น้ำมันตับปลา รวมถึงซีเรียล ขนมปัง นม และไข่แดง เป็นต้น
ในปัจจุบัน วิตามินดี ถูกผลิตเป็นอาหารเสริม ซึ่งเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ขาดวิตามินดี และไม่สะดวกในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน แต่ต้องระวังการใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนเสมอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ที่มา : โรงพยาบาลกรุงเทพ