- การเดินทางของพวกเขาไม่ง่ายเลย ฝึกฝนมาเป็นศิลปินฝึกหัดนานกว่า 2 ปี ก่อนที่จะได้เดบิวต์
- ทั้งตื่นเต้นและรู้สึกกดดันเพราะพวกเขาคือบอยกรุ๊ปวงแรกของค่าย GNEST ในเครือแกรมมี่
- 5 คน 5 คาแรกเตอร์ แม้จะมีความแตกต่างในบุคลิกและตัวตน แต่เมื่ออยู่ร่วมกันกลับลงตัวได้อย่างน่าทึ่ง
วงการเพลง T-POP ตอนนี้ได้ต้อนรับบอยกรุ๊ปน้องใหม่ PERSES (เพอร์เซส) จากค่าย GNEST ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ซึ่งประกอบไปด้วย 5 สมาชิก ได้แก่ จั๋ง วิกร บูรณภิญโญ (Leader / Main Rapper), เน ณรัณ วิกัยรุ่งโรจน์ (Visual Rapper), กฤติน สอสูงเนิน (Main Vocal), ปาล์ม พีรวิชญ์ พินธะ (Main Dancer) และ ปลั๊กกี้ ธรากร คำสิงห์ (Main Vocal / Lead Dancer) สมาชิกคนสุดท้อง ชื่อวง PERSES ได้รับแรงบันดาลใจจากเทพเจ้ากรีกที่หมายถึง "The destroyer" ซึ่งเป็นเทพแห่งการทำลายสิ่งเก่าเพื่อสร้างสิ่งใหม่ จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่หลังจากการสิ้นสุด
เราได้มีโอกาสพูดคุยกับทั้ง 5 หนุ่มเกี่ยวกับการรวมตัวและที่มาของพวกเขา การเดินทางมาในจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาฝึกฝนเป็นศิลปินฝึกหัดมากว่า 2 ปี ก่อนจะได้เดบิวต์ด้วยเพลงแรก “MY TIME” ซึ่งหลังจากนั้นแฟนๆ ก็เริ่มติดตามและสนับสนุนผลงานมาเรื่อยๆ จนถึงเพลงล่าสุด “น่ารักน้อยลงหน่อย” ที่ได้รับความนิยมจากสาวๆ เพลงป๊อปสดใสนี้พูดถึงความน่ารักของคนที่เรารักจนอยากเก็บไว้เป็นของตัวเอง พร้อมทั้งยังได้เล่าถึงตัวตนและนิสัยของทั้ง 5 หนุ่ม ที่แม้คาแรกเตอร์จะแตกต่างกัน แต่พวกเขากลับอยู่ร่วมกันได้ลงตัวจริงๆ

การรวมตัวของพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาฝ่าฟันและฝึกฝนมาจนถึงจุดนี้
เมื่อถามถึงการรวมตัวของทั้ง 5 สมาชิกที่ถือเป็นศิลปินบอยกรุ๊ปแรกของ GNest เนเล่าว่าในตอนแรกเขาเคยรับงานถ่ายแบบ เล่นเอ็มวี โฆษณา จนกระทั่งค่าย GNest เปิดออดิชั่น จึงลองเข้ามาเป็นเด็กฝึกและได้เริ่มการเทรนเป็นศิลปิน ขณะที่ปาล์มบอกว่าเริ่มต้นจากความชื่นชอบการเต้นและการแข่งเต้น ก่อนจะได้รับโอกาสเป็นแดนเซอร์ให้กับศิลปินแกรมมี่ ตอนนั้นเขารู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเมื่อขึ้นแสดงบนเวทีจนเริ่มฝันอยากเป็นศิลปิน แล้วเมื่อค่ายเปิดออดิชั่น ปาล์มก็ได้มาร่วมงานและกลายเป็นศิลปินในที่สุด
ปลั๊กกี้เล่าว่าเขาชอบร้องเพลงและเต้นมาตั้งแต่เด็ก แม่เล่าให้ฟังว่าเขาชอบร้องเพลงในรถตลอดเวลา ค่อนข้างรู้ตัวว่าชอบเต้นและฝันอยากเป็นศิลปินมาตั้งแต่เล็กๆ หลังจากที่ประกวดตามเวทีต่างๆ เขาก็ได้รับความสนใจจากรายการ “The Voice Kids ซีซั่น 4” ซึ่งมีเพลงหนึ่งที่ได้รับความนิยม หลังจากนั้นปลั๊กกี้ก็ยังเดินหน้าประกวดร้องเต้น และทำยูทูบ จนทีมงานจาก GNest เห็นและทักมาชวนให้มาทำออดิชั่น เมื่อผ่านการออดิชั่นแล้วเขาก็ย้ายจากขอนแก่นมาอยู่กรุงเทพฯ เพื่อลงทำงานกับค่าย
กฤตินบอกว่าเส้นทางของเขาคล้ายกับพี่เน เคยทำงานในโมเดลลิ่งเดียวกันมาก่อน และเคยมีโอกาสถ่ายเอ็มวี ถ่ายแบบ และทำหนังสั้น แต่เขาชอบร้องเพลงและอยากเป็นศิลปินแต่ไม่เคยมีโอกาสเข้าประกวด ครั้งหนึ่งเขาเคยลองประกวดแต่เฟลเพราะร้องเพลงเพี้ยน เนื่องจากยังไม่ฝึกฝนมากพอ และเคยได้ยินคนพูดว่า ‘ทำไมพี่เขายังร้องเพลงเพี้ยน’ จึงทำให้เขาหยุดประกวดไปพักใหญ่

เมื่อโตขึ้น กฤตินได้เข้ามาทำงานในโมเดลลิ่งและชอบร้องเพลงลงในอินสตาแกรม ซึ่งทางค่าย GNest เห็นและติดต่อให้เขามาออดิชั่นและเขาก็ผ่านการคัดเลือก เมื่อถามถึงการรู้จักกับเน กฤตินบอกว่าเคยเห็นเนมาก่อนในงานถ่ายแบบแต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาร่วมงานกัน และเนเองก็บอกว่าในช่วงที่รับงานถ่ายแบบนั้น ต่างคนต่างจะได้รับงานจากแบรนด์ที่มีคาแรกเตอร์แตกต่างกัน ทำให้ไม่เคยเจอกันในงานถ่ายแบบมาก่อน
จั๋งกล่าวว่าเมื่อก่อนเขาเป็นเด็กกิจกรรมที่ชอบเล่นดนตรีและพ่อพาไปเรียนเปียโนเป็นงานอดิเรก เมื่อเขาเรียนในมหาวิทยาลัย ก็ได้รับการชักชวนจากค่าย MBO ให้มาออดิชั่นและลองร้องเพลงและเต้น ตอนนั้นเขายังไม่ค่อยมั่นใจ เนื่องจากเคยโดนเพื่อนล้อว่าเสียงเหมือนหมาปัสสาวะรดสังกะสี แต่สุดท้ายเขาได้รับการเลือกให้เข้าค่ายและได้รับการเทรนเป็นเวลา 6 เดือน แต่เมื่อค่าย MBO ไม่มีโปรเจกต์ใหม่ เขาจึงถูกส่งไปออดิชั่นที่ GNest และผ่านการคัดเลือกเข้ามาเป็นสมาชิกวง PERSES
ชีวิตในฐานะศิลปินฝึกหัด
ในช่วงที่ยังเป็นศิลปินฝึกหัดในค่าย GNest ปลั๊กกี้เล่าว่า นอกจากพวกเขาทั้ง 5 คนแล้ว ยังมีศิลปินฝึกหัดคนอื่นๆ รวมทั้งสิ้นประมาณ 20 คน พวกเขาจะฝึกฝนร่วมกัน และจะมีการประเมินผลทุกเดือน พร้อมกับการประเมินใหญ่ทุก 3 เดือนเพื่อตัดออก ในระหว่างการฝึก ทุกคนจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกคัดออก และเมื่อถึงช่วงหนึ่ง พี่ๆ ในค่ายได้รวมพวกเขาทั้ง 4 คน ได้แก่ ปลั๊กกี้, กฤติน, เน, จั๋ง แล้วพบว่าอยากจะเพิ่มสมาชิกอีกหนึ่งคน จึงมีปาล์มเข้ามาเป็นคนสุดท้ายในกลุ่ม
จั๋งเล่าว่า ตอนแรกที่มีสมาชิกทั้งหมด 20 คน พวกเขาค่อนข้างแยกกันอยู่คนละกลุ่ม แต่เมื่อเวลาผ่านไปและการคัดเลือกเริ่มเข้มข้น กลุ่มก็เริ่มแคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งได้พบกับน้องทิกเกอร์ (อชิระ เทริโอ) และสุดท้ายก็เหลือแค่กลุ่มนี้รวมถึงน้องทิกเกอร์ ปลั๊กกี้เสริมว่า “บรรยากาศในช่วงที่เป็นเด็กฝึกฝนมันค่อนข้างดี ทุกคนช่วยเหลือกัน ไม่มีใครรู้สึกต้องการเอาชนะกัน ทุกคนต่างก็อยากให้ทุกคนได้ผ่านการเป็นศิลปินไปด้วยกัน เมื่อมีการบ้านเกี่ยวกับการเต้นหรือร้องเพลง ทุกคนก็จะช่วยกันทำให้ดีที่สุด”
เมื่อผ่านการฝึกฝนและประเมินจนเหลือแค่สมาชิก 5 คน กฤตินเล่าว่า จากการที่พวกเขาฝึกมาด้วยกันตั้งแต่แรก ทำให้เข้าใจนิสัยของแต่ละคนอยู่แล้ว การทำงานร่วมกันจึงไม่ยากเท่าไร จั๋งเสริมว่า “ในช่วงก่อนเดบิวต์ เราต้องฝึกเทสต์พร้อมกันทั้ง 5 คน เพื่อตรวจสอบว่าเคมีของทุกคนเข้ากันได้ดีไหม และมีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้พวกเรารู้จักกันมากขึ้นและสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น”

ในการฝึกฝนระยะเวลา 2 ปี กฤตินกล่าวว่าไม่ได้รู้สึกว่านานเกินไป บางคนฝึกนานถึง 5 หรือ 10 ปีเลยก็มี จั๋งกล่าวว่าทุกวันนี้ก็ยังคงฝึกอยู่ แม้จะผ่านการฝึกมาแล้วก็ตาม เมื่อถามถึงความรู้สึกในวันที่ได้รับการยืนยันว่าจะได้เดบิวต์ ปลั๊กกี้กล่าวว่า “ผมรู้สึกกดดันนิดหน่อย เพราะเราเป็นวงแรกของค่าย GNest แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่ได้ทำซิงเกิลแรก เพราะมันเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะได้เห็นผลจากการฝึกฝน เรารอคอยที่จะมีเพลงของตัวเองและได้ร้องให้แฟนๆ ฟัง”
ปาล์มพูดถึงช่วงที่ใกล้จะเดบิวต์ว่า เขารู้สึกตื่นเต้นและยังไม่ค่อยมั่นใจ เนื่องจากเขาเป็นคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกคนสุดท้าย ระยะเวลาการฝึกของเขาจึงสั้นกว่าคนอื่น แต่ก็ได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ในค่าย จึงรู้สึกว่าต้องทำให้เต็มที่ และเมื่อถึงวันที่ได้เดบิวต์ เขารู้สึกภูมิใจมากที่ได้มาถึงจุดนี้
ศิลปินรุ่นใหม่
จั๋งพูดถึงวันแรกที่กลายเป็นศิลปินน้องใหม่ว่า ช่วงแรกเขารู้สึกประหม่า แต่โชคดีที่ค่ายมีการเตรียมตัวให้พร้อม ด้วยการฝึกการสัมภาษณ์และโต้ตอบจริงๆ เขาได้ฝึกฝนจนรู้สึกมั่นใจขึ้น แต่ในวันแรกที่ต้องออกสัมภาษณ์จริงๆ เขารู้สึกเครียดมาก เพราะคิดถึงอนาคตและกลัวจะทำพลาด เขารู้ว่าทุกคนในทีมทุ่มเทมากกับโปรเจกต์นี้ เขาจึงอยากทำให้ดีที่สุด
ปลั๊กกี้เล่าเกี่ยวกับการถ่ายเอ็มวีเพลงแรก (MY TIME) ว่าช่วงก่อนถ่ายเอ็มวีพวกเขาซ้อมหนักมาก โดยเฉพาะเมื่อไปถ่ายที่เกาหลี ทีมงานที่เคยทำงานกับเกาหลีบอกว่าเกาหลีจะเน้นความเป๊ะและเข้มงวดมาก พวกเขาก็ซ้อมจนเต็มที่ แต่เมื่อถึงที่เกาหลี ทีมงานก็ให้ความเอ็นดูพวกเขาอย่างมาก การถ่ายเอ็มวีใช้เวลา 2 วัน ถึงแม้จะเหนื่อยจากการเต้นแต่ก็รู้สึกดีมาก พอกลับไปที่โรงแรมทุกคนรู้สึกปวดขามาก

กฤตินเล่าเกี่ยวกับการถ่ายทำซีนที่เขาต้องเข้าไปในห้องเก็บเทปและทำลายเทปตามคำบรีฟ โดยการเล่นแค่หยิบเทปและดู แล้ววางกลับที่เดิม เขาทำหลายเทคแต่ผู้กำกับยังไม่สั่งคัต จึงเริ่มทำลายเทปจนกระจายเต็มพื้น ทีมอาร์ตเครียดมากจากการทำลายเซตที่เตรียมไว้นาน แต่ผู้กำกับกลับชอบการแสดงนี้ นอกจากนี้ ปลั๊กกี้ยังเสริมว่าในวันที่ถ่ายทำที่เกาหลี อากาศร้อนมากและการถ่ายทำในโกดังก็ทำให้ทุกคนเหงื่อออกเต็มตัวจากการเต้นอย่างหนัก
เมื่อถึงซิงเกิลที่ 2 “TOUCHDOWN (ใกล้ดาว)” เพลงจะมีความเบาลงมาเล็กน้อย โดยเป็นเพลงในจังหวะ Medium ซึ่งการเต้นจะน้อยกว่าซิงเกิลแรก โดยถ่ายทำส่วนใหญ่ในสนามกอล์ฟในวันที่แดดจัดมาก จึงทำให้พวกเขาโดนแดดไหม้จนผิวแทบจะไม่รอด แสงแดดก็แรงมาก แต่ยังโชคดีที่ไม่ได้เต้น เพราะถ้าต้องเต้นในอากาศแบบนี้ อาจจะล้มไป แต่พวกเขาก็ต้องลากบอลลูนในเอ็มวี ซึ่งต้องลากและตกแต่งบอลลูนในกลางแดดของเมืองไทย ทำให้รู้สึกอบอ้าวมาก แต่เมื่อมาถึงเพลงที่ 3 “Catch the Night” พวกเขากลับต้องเต้นหนักมาก โดยไปถ่ายทำที่โรงแรมร้างในย่านเยาวราช ซึ่งปิดมานานกว่า 10 ปี การถ่ายทำใช้เวลา 24 ชั่วโมง ตั้งแต่เช้าจนถึงเช้าของวันถัดไป แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์น่ากลัวเกิดขึ้น

แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มเข้าวงการเพลงไม่นาน แต่ทั้ง 5 หนุ่มก็ได้มีแฟนคลับที่ติดตามผลงานกันไม่น้อย กฤตินบอกว่าเขารู้สึกดีใจและมีความสุขมากที่ได้รับการสนับสนุนจากแฟนๆ ที่คอยให้กำลังใจตลอดเวลา เขารู้สึกว่าผลงานที่เขาทำได้รับการยอมรับ เขาไม่เคยคิดว่าจะมีแฟนๆ มากมายขนาดนี้ แต่ทุกวันก็เหมือนเป็นเซอร์ไพรส์เมื่อมีแฟนคลับมาเรียกชื่อและร้องเพลงตามพวกเขา ทุกสิ่งที่ทำมาทำให้เขารู้สึกว่ามันคุ้มค่ามาก ทั้งที่เขาก็ไม่ได้หวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากคนเยอะขนาดนี้ ส่วนเรื่องคำวิจารณ์ กฤตินบอกว่า “ผมน่าจะเจอเยอะสุด เพราะว่าด้วยความที่ผมเป็นคนโผงผาง เป็นคนเสียงดัง หน้าดุ ก็เสียใจครับ แต่ว่าเราก็ต้องรับให้ได้ เราก็คุยกับทุกคนว่าแบบนี้จะยังไงดี ทุกคนก็ช่วยหาทางแก้ สุดท้ายก็หาได้ ก็คิดให้เยอะๆ เวลาเราจะพูดอะไร ต้องดูว่าเอ๊ะ หน้าเราเป็นยังไงตอนนี้ครับ ต้องมีสติตลอดเวลาว่าเราจะแสดงออกแบบนี้ครับ”
ปลั๊กกี้เสริมว่า ส่วนตัวเขาแทบไม่ค่อยเจอคำวิจารณ์รุนแรงเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นความคิดเห็นที่สามารถรับได้ตามปกติที่เกิดขึ้นในวงการบันเทิง พวกเขารับฟีดแบ็กจากแฟนๆ ไว้และหากมีอะไรที่สามารถปรับปรุงได้ก็จะปรับให้ดีขึ้น หากเห็นว่าคนไหนพิมพ์คำวิจารณ์ที่มีเจตนาเพื่อสะใจ เขาก็เลือกที่จะปล่อยผ่านไป และแม้ว่าในบางครั้งจะรู้สึกนิดหน่อยเมื่ออ่านคอมเมนต์บางอัน แต่เขาก็เข้าใจว่าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตัวเอง ทุกคนต้องยอมรับคำวิจารณ์ที่ดีและไม่ดีเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น
น่ารักน้อยลงหน่อย
ในซิงเกิลเพลงที่ 4 “น่ารักน้อยลงหน่อย” จั๋งเล่าว่าพี่ปณต Getsunova ได้ทำงานเป็น Executive Producer และทำเดโมให้พวกเขาฟังก่อน พวกเขาเลือกเพลงนี้เพราะมีข้อความที่ชัดเจนและสามารถส่งต่อถึงแฟนๆ ได้ดี หลังจากนั้นก็ทำการวางคอนเซปต์และเอ็มวี ซึ่งสื่อความหมายว่า ‘ช่วยน่ารักน้อยลงหน่อยได้ไหม’ เพราะถ้าน่ารักกว่านี้อาจจะทำให้แฟนๆ ห้ามใจไม่ไหว ส่วนการมีส่วนร่วมในเอ็มวี พวกเขาก็ปรับท่อนฮุคให้สามารถเต้นตามได้ง่ายขึ้น เพราะในยุคนี้คนส่วนใหญ่ชอบเต้นตามใน TikTok และต้องการให้ท่าเต้นในเพลงนี้สามารถเต้นตามได้ง่ายๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับ 3 ซิงเกิลที่ผ่านมา ที่ท่าเต้นค่อนข้างยาก ดังนั้นในซิงเกิลนี้จึงพยายามทำให้ท่าเต้นดูง่ายขึ้น
จั๋งได้เพิ่มท่อนแร็ปในช่วง Verse 2 ของเพลง เนื่องจากเขารู้สึกว่าเดโมที่ฟังแล้วมันยังไม่สนุกพอ และอยากให้มันสามารถสื่อสารได้ดีขึ้น พี่ปณตจึงให้จั๋งลองแต่งแร็ปขึ้นมาและให้สตอรี่ไลน์เป็นแนวทางให้เขาขยายความต่อ จั๋งกล่าวว่า “กลางๆ ครับ ผมเขียนแร็ปมาอยู่แล้วด้วย ทุกคนเรียนแร็ปกันหมด ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็พัฒนาสกิลเรื่อยๆ มันก็ลิงก์กับชีวิตวัยเด็กเราสมัยปั๊บปี้เลิฟ (ยิ้ม)”

เนบอกว่าในการมีส่วนร่วมในมิวสิกวิดีโอ ทุกคนจะส่งแบบทรงผมที่อยากทำให้ทีมงานดู และพี่ๆ ก็จะช่วยตัดสินว่าแบบไหนเหมาะสมกับเรา ซึ่งทรงผมที่ได้ก็มาจากความร่วมมือกัน ส่วนปลั๊กกี้ก็เลือกสีแดงสำหรับการทำทรงผมตามคอนเซปต์ที่ทีมครีเอทีฟของค่ายกำหนดไว้ พวกเขาจะมาช่วยแนะนำเพียงแค่เพิ่มรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้เหมาะสม ด้านกระแสตอบรับหลังจากที่ปล่อยเอ็มวีไปไม่กี่วัน ยอดวิวพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว กฤตินกล่าวว่าเขาดีใจมาก เพราะยอดวิวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และคอมเมนต์จากแฟนๆ เป็นไปในทิศทางที่ทำให้รู้สึกดี ทุกคนชมว่าเพลงเข้าใจง่าย ซึ่งพวกเขาก็พยายามทำเพลงให้สื่อสารกับผู้ฟังได้มากที่สุด คิดว่าเนื้อหาเพลงนี้ทุกคนต้องเคยผ่านประสบการณ์แอบชอบใครสักคน และรู้สึกว่าอยากให้น่ารักน้อยลงหน่อย เพื่อไม่ให้ห้ามใจไม่ไหว
ปลั๊กกี้กล่าวว่า เมื่อท่าเต้นในเพลงนี้ง่ายขึ้น พวกเขาก็อยากให้แฟนๆ เข้ามาร่วมสนุกกับ #Cuteless_Challenge ใน TikTok โดยแนะนำให้ไปดูคลิปสอนเต้นเพื่อที่ทุกคนจะได้เต้นตามกันได้ คนที่เต้นแรงที่สุดในวงคือกฤติน เพราะเขาชอบใช้พลังเยอะในการทำกิจกรรม ขณะที่ปลั๊กกี้เต้นกว้างที่สุด เพราะกลัวว่าคนข้างหลังจะไม่ได้เห็นการเต้นของเขา นอกจากนี้ ปลั๊กกี้ยังได้กล่าวว่าเขามีแพลนจะทำอัลบั้มเร็วๆ นี้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะมีทั้งหมดกี่เพลง น่าจะได้เห็นในปีนี้ โดยอาจจะเป็นไตรมาสที่ 3 หรือ 4 ต้องรอการยืนยันจากทางค่ายอีกครั้ง
5 คน 5 คาแรกเตอร์
หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เล่าความรู้สึกเกี่ยวกับคาแรกเตอร์ของตัวเอง โดยเริ่มจากเนที่บอกว่า “สิ่งที่รู้สึกกับตัวเองคือเป็นคนค่อนข้างเงียบ จะคุยเฉพาะเรื่องที่เราสนใจ ถ้าเรื่องไหนที่เราไม่ได้มีประสบการณ์ หรือความรู้กับมันมากนัก เราก็จะชอบฟังคนอื่นคุยกันมากกว่า เป็นผู้ฟังที่ดี” ปลั๊กกี้เสริมว่า “ผมรู้สึกว่าพี่เนเป็นความหมายของคำว่า Introvert ประมาณหนึ่ง ไม่ได้ตัดขาดออกจากสังคมโดยสิ้นเชิง เขามีโลกส่วนตัว แต่เวลาอยู่กับคนอื่น เขาสามารถคุยกับคนอื่นได้ อย่างพี่เนจะสนใจเรื่องหนังสือ หนัง เกม ถ้าใครโปรเรื่องนี้ก็จะคุยกับพี่เนรู้เรื่องหน่อย”
จั๋งแซวว่า ถ้าสังเกตจากตาของพี่เน เราจะเห็นได้เลยว่าเขาจากคนที่ไม่ค่อยพูดก็กลายเป็นคนพูดเก่งทันที ปลั๊กกี้ยังเสริมว่า พี่เนจะมีความติสต์ๆ หน่อย จั๋งบอกว่า พี่เนมีมุมมองต่อสิ่งต่างๆ ที่แตกต่างจากพวกเรา 4 คน เขามักจะมองสิ่งที่เราไม่เคยคิดถึงมาก่อน เพราะเขาอ่านหนังสือเยอะจึงทำให้วิธีคิดของเขามีความพิเศษ ปลั๊กกี้ยังบอกว่า พี่เนเป็นคนที่เอาใจใส่ แต่จะดูแลแบบห่างๆ อย่างบางครั้งพี่จั๋งไม่ว่าง พี่เนก็จะช่วยตัดต่อคลิปให้ จั๋งเลยบอกว่า “ผมก็ด้วยความเป็นคนดี ก็ฝากเขาไป” งานนี้ทุกคนในวงหัวเราะกันเสียงดัง

ปาล์มมองตัวเองว่าเป็นคนที่พูดไม่ค่อยเก่ง มักจะยิ้มแทนคำพูดมากกว่า เขาชอบยิ้มตั้งแต่เด็ก โดยที่บ้านสอนให้เขายิ้มสู้กับทุกเรื่องที่เจอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เมื่อจั๋งบอกว่าเขารู้จักปาล์มตั้งแต่ตอนฟอร์มวง ก็ยิ้มเรี่ยราดจนทำให้เพื่อนๆ หัวเราะกันลั่น จั๋งเสริมว่า ปาล์มยิ้มให้ทุกเรื่อง และบางครั้งแม้จะโดนคอมเมนต์ที่แรงๆ ก็ยังยิ้มไว้ก่อน เหมือนเป็นการรับมือแบบของเขา พอยิ้มแล้วทุกอย่างก็ดีขึ้น และคนรอบข้างก็รู้สึกดีไปด้วย ส่วนปลั๊กกี้บอกว่า ปาล์มเป็นคนที่คิดบวกในทุกๆ เรื่อง เมื่อมีปัญหาก็จะพูดในแง่บวก จึงทำให้เขามีพลังบวกและทำให้คนรอบข้างรู้สึกดีขึ้นได้จากคำพูดและรอยยิ้มของเขา
ปลั๊กกี้ได้พูดถึงตัวเองบ้างว่า เขามองตัวเองเป็นคนที่สดใส ไม่ค่อยชอบอยู่ในที่มืดๆ เขาชอบที่จะอะเลิร์ทอยู่เสมอ แต่ถ้าวันไหนรู้สึกเหนื่อยๆ ก็จะเหี่ยวไปเลย และปรับตัวตามสภาพอากาศในเมืองไทย โดยถ้าเจอแดดร้อนจะเหนื่อย แต่พอกลางคืนก็จะคึกขึ้นเพราะไม่มีแดดแล้ว ด้านกฤตินบอกว่า เขาน่ารักสดใสตามวัย มีทั้งความสดใส เศร้า และบางครั้งก็สวิง แต่เขาเป็นคนจิตใจดีและเป็นที่ปรึกษาที่ดี เขาตามน้ำเก่งและไม่ค่อยคิดลบ

จั๋งเสริมว่า ปลั๊กกี้เป็นคนที่มีมายด์เซตที่โตกว่าวัย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาประกวดมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า แต่เวลาทำงานเขาจะเป็นมืออาชีพและงานมันง่ายเพราะทุกอย่างมันโฟลว์ไปหมด เขารู้ว่าเขาต้องทำอะไร แต่ก็ขึ้นอยู่กับอากาศในเมืองไทยด้วย ปาล์มบอกว่า เขาคิดว่า ปลั๊กกี้คือคนที่ทำให้พวกเขาสนิทกัน เพราะปลั๊กกี้เป็นคนเฟรนด์ลี่และเข้าหาคน ซึ่งในช่วงแรกที่พวกเขายังไม่สนิทกัน ปาล์มได้เรียนคลาสคู่กับปลั๊กกี้ ปลั๊กกี้จึงพาเขาไปทำความรู้จักกับทุกคนจนสนิทกันมากขึ้น
เมื่อถึงคิวของกฤตินเขาก็พูดถึงตัวเองว่า เขามองตัวเองเป็นคนที่พูดมาก ชอบคุยกับคนที่สนใจและคุยกับคนที่สนิท เขามักจะมีเกราะป้องกันตัวเองสูงและอะเลิร์ทตลอดเวลา เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่นิ่งๆ ถ้าว่างก็จะหาเพื่อนทำกิจกรรมไปเรื่อยๆ ด้านจั๋งกล่าวว่า กฤตินคือการนิยามคำว่า ‘พัง’ เพราะเขามักจะทำข้าวของพัง เป็นนิยามของคำว่า ‘เอนเนอร์จี้’ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในสถานการณ์ใด กฤตินก็จะเต็มไปด้วยเอนเนอร์จี้ แม้ว่าจะบางวันเขาจะเหนื่อยหรือไม่สบาย แต่เมื่อทำงานจริงๆ เขาก็ยังมีเอนเนอร์จี้และทำงานได้เป็นมืออาชีพ

ปลั๊กกี้ได้โอกาสเล่าถึงพี่กฤติว่า “เป็นคนพูดเยอะจริงๆ ตอนที่เราไปทริปทำงานที่สิงคโปร์ครั้งนั้น ผมรู้เลยว่าพี่กฤติพูดไม่หยุด ตั้งแต่ขึ้นเครื่องบิน พี่กฤติหลับไปแค่แป๊บเดียว หลังจากนั้นก็ไม่เคยเงียบอีกเลย พูดตั้งแต่ลงเครื่องจนถึงเข้านอน เพราะเราอยู่ห้องเดียวกัน และพี่กฤติมีพลังงานที่ไม่หยุดนิ่งเลย” กฤตินเสริมว่า “แม้ตอนปลั๊กกี้หลับ ผมเล่นโทรศัพท์ไปพักนึงก็เห็นปลั๊กกี้หันมาถามว่า ‘ปลั๊กกี้หลับยัง?’ คือเขาตื่นมาเพื่อถามผม (หัวเราะ)”
จั๋งพูดถึงตัวเองว่า “ผมสามารถปรับตัวได้ดีทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะคุยกับใครก็สามารถเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม เป็นคนใจเย็นและใจดี แต่ช่วงหลังเริ่มมีอารมณ์ร้อนขึ้น (หัวเราะ) ถ้ามีอะไรมากระทบผมจะคิดว่ามันจะรับมือด้วย Positive Energy ก่อน ทุกอย่างจะดีขึ้นตามมา ผมเป็นคนมีเป้าหมายที่ชัดเจน” กฤตินเสริมว่า “พี่จั๋งเป็นคนมีความเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผลในทุกๆ เรื่อง ดีที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นครับ (หัวเราะ) ส่วนตัวผมเป็นคนใจร้อน แต่พี่จั๋งใจเย็น แต่ที่พี่จั๋งบอกว่าเริ่มร้อนขึ้น อาจจะเป็นเพราะผมมีส่วนทำให้พี่จั๋งใจร้อนขึ้นมาบ้าง (ยิ้ม)”
ฝากถึงแฟนๆ
ในตอนท้าย ทุกคนได้พูดถึงแฟนๆ ที่สนับสนุนผลงาน จั๋งกล่าวว่า “สำหรับผม มีคำเดียวว่า ขอบคุณ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งเจอเราหรือคนที่อยู่กับเรามาตลอด การที่คนคนหนึ่งเอาพลังใจมาช่วยเชียร์และสนับสนุนศิลปินถือเป็นเรื่องที่ยากมาก มันต้องมีความรักจริงๆ คนเหล่านั้นทุ่มเทให้เราอย่างมากจนบางครั้งเรารู้สึกเกรงใจและอยากทำให้ตัวเองดีขึ้นเพื่อทดแทนกำลังใจจากพวกเขาครับ”
กฤตินกล่าวว่า “ขอบคุณทุกคนที่ให้ความรักและรับพวกเราเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ขอบคุณที่มาร่วมให้กำลังใจ ร้องเพลงและสนุกไปด้วยกัน มีคนแท็กสตอรี่มาเล่าว่าวันนั้นเขารู้สึกเศร้ามาก แต่แค่ได้เห็นพวกเราและฟังเพลง เขาก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว รู้สึกว่าเขาชีวิตไม่มีความสุข แต่พอเจอเรา เขารู้สึกว่าเราเหมือนแสงสว่างที่ทำให้เขามีความสุขอีกครั้ง เรารู้สึกดีใจมากที่เป็นความสุขของใครสักคนที่เราไม่เคยรู้จัก แต่นั่นทำให้เราเห็นว่าผลงานของเรามีความหมายและมีคนสนับสนุนจริงๆ”
ปลั๊กกี้ฝากถึงแฟนๆ ว่า “แฟนคลับบางคนมักบอกว่าในวันที่เขามีช่วงเวลาที่ไม่ดี เขามีเราอยู่เคียงข้าง เขาก็เหมือนกับพวกเราในทุกผลงานที่เราสร้างออกมา เพื่อให้เขามีกำลังใจต่อชีวิต ผมเชื่อว่าเมื่อเราสามารถเป็นแรงผลักดันให้เขา เขาก็เป็นกำลังใจให้เราในการพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เช่นกัน ถ้าเราทำสิ่งดีๆ โดยที่ไม่มีใครเห็นการเติบโต หรือคอยสนับสนุน เราก็อาจจะท้อ แต่ตอนนี้เรารู้ว่ามีคนข้างๆ ที่คอยซัพพอร์ตเรา และเราก็อยากให้เขามีความสุขไปกับทุกก้าวที่เราก้าวไปครับ”

ปาล์มกล่าวว่า “สำหรับผม เราคือครอบครัวกันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เราเติบโตมาด้วยกัน มีความผูกพันที่ลึกซึ้งมากๆ ผมต้องขอบคุณพวกเขาที่ทำให้ทุกวันของเราเต็มไปด้วยความสุขเช่นเดียวกัน รู้สึกดีใจที่เราสามารถทำให้ทุกวันของเขามีความสุขได้เช่นกันครับ ไม่มีคำพูดใดจะบอกนอกจากคำว่ารักมากๆ ขอบคุณที่คอยสนับสนุนพวกเรา พวกเราทุ่มเทเต็มที่ในการทำผลงาน และอยากให้ทุกคนที่มาหาเรามีความสนุกไปกับการแสดงของพวกเราครับ”
เนบอกว่า “สำหรับผม แฟนคลับทุกคนคือพลังสำคัญที่ทำให้เรามีกำลังใจในการพัฒนาตัวเอง ผมพยายามสร้างผลงานที่ดีที่สุดเพื่อให้พวกเขาได้มีความสุขกับมัน และเมื่อเห็นพวกเขามีความสุขกับผลงานและข้อความที่เราต้องการส่งถึงพวกเขา เราก็รู้สึกประทับใจมากๆ ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนจากทุกคน ทั้งข้อความที่แท็กมา หรือจดหมายที่ส่งมาให้ การอ่านมันทำให้เรามีกำลังใจในการซ้อมทุกวันครับ”