- เริ่มต้นจาก 2 พี่น้อง พอร์ส-แพนเค้ก ที่เล่นดนตรีเปิดหมวก ก่อนที่จะรวมตัวกับอีก 3 สมาชิก
- ฟอร์มวงดนตรีจนได้รับกระแสตอบรับที่ดี และมีโอกาสกลายเป็นศิลปินน้องใหม่ภายใต้ค่ายจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
- ความดังที่มาพร้อมกับดราม่า แต่พวกเขานำคำวิจารณ์มาพัฒนาตัวเองและสร้างผลงานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
Yes Indeed คือวงดนตรีน้องใหม่ที่ได้รับความนิยมตั้งแต่ยังไม่เดบิวต์เต็มตัว โดยมีสมาชิก 5 คน ได้แก่ พอร์ส นรากร อิสระวรางกูร (ร้องนำ, กีตาร์), แพนเค้ก อิสรีย์ อิสระวรางกูร (ร้องนำ), มังกร รัชชานนท์ วรกิจไพบูลย์ (กลอง), ทะเล ยศธกร ชะเอม (กีตาร์โซโล่), ติน ตฤณ ฟูจิตนิรันดร์ (คีย์บอร์ด) โดยพวกเขาเริ่มต้นจากการเล่นดนตรีเปิดหมวก และได้รับความสนใจจากแฟนเพลงจำนวนมาก
บันเทิง Mytour ออนไลน์ได้ชวนทั้ง 5 สมาชิกของวง Yes Indeed มาร่วมพูดคุยถึงการรวมตัวเล่นดนตรีที่เกิดจากความชอบและความหลากหลายทางดนตรี ทั้งเพลงเก่าและเพลงใหม่ ก่อนจะได้รับโอกาสกลายเป็นศิลปินน้องใหม่ภายใต้ค่าย ไวท์ มิวสิค (White Music) ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และปล่อยซิงเกิลแรก “เลื่อนชั้น” เปิดตัวศิลปินใหม่ที่พร้อมพิสูจน์ความสามารถด้านดนตรี

การรวมตัวของวง Yes Indeed
เมื่อถามถึงการรวมตัวจนกลายเป็นวง Yes Indeed พอร์สเล่าว่า “จริงๆ แล้วพวกเราเริ่มเล่นดนตรีจากความชอบและความสนุกตั้งแต่แรกเลย แต่ก่อนที่จะเล่นจากความชอบ ผมกับเค้กเป็นพี่น้องกัน เริ่มจากการเล่นเปิดหมวกเพื่อหวังจะมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น และอยากมีประสบการณ์และกล้าแสดงออกมากขึ้นเพราะเราค่อนข้างขี้อาย เราจึงเริ่มทำกันสองคน ก่อนที่จะรู้สึกเบื่อเพราะดนตรีมันดูไม่มีอะไร เราจึงไปหามือกลอง จนได้มังกรมา เพราะเจอในเฟซบุ๊ก เป็นเพื่อนสมัยประถมของผม จากนั้นก็มาเจอเลผ่านเพื่อนของเค้กอีกที ผ่านแอปหนึ่ง ก็เล่นกันสี่คนจนไปเล่นในงานที่เอเชียทีค งานลอยกระทงครับ”
ตินเล่าเพิ่มเติมว่า “วันนั้นผมเดินผ่านวงพี่ๆ เขากำลังเล่นดนตรีแล้วรู้สึกชอบ ก็เลยทักไปขอแจมด้วย เค้กเห็นก็ยินดีตอบตกลง เลยชวนผมเล่นในครั้งถัดไป พอตอนนั้นยังไม่มีชื่อวงครับ เล่นกันไปสักพัก จนกระทั่งมาเล่นที่สยามแล้วก็มีคอมเมนต์มากมาย อยากให้เรามีชื่อวง เราจึงตัดสินใจตั้งชื่อจากคอมเมนต์ที่บอกว่า ‘ใช่เลย’ เลยเลือกคำว่า Indeed แล้วเพิ่มคำว่า Yes เป็นชื่อวง Yes Indeed ที่แปลว่า ‘มันใช่เลย’ หรือ ‘สุดยอด’”

พอร์สบอกว่า แนวเพลงที่เล่นส่วนใหญ่จะเป็นเพลงคัฟเวอร์แนววาไรตี้ ที่เล่นได้ทุกแนว เช่น ป๊อปหรือร็อกผสมกันสนุกๆ บางครั้งก็จะมีเพลงเก่าๆ ที่เล่นได้ทุกวัย ตินเสริมว่าเขาจะเล่นทุกแนวตั้งแต่เพลงเก่าไปจนถึงเพลงใหม่ รวมถึงเพลงช้าๆ ด้วย เช่น เพลง ‘หลับตา’ ของชรัส เฟื่องอารมย์ หรือ ‘ใจรัก’ ของสุชาติ ชวางกูร พอร์สบอกว่าในการเลือกเพลงแต่ละครั้งพวกเขาจะช่วยกันเลือก แต่ก็ไม่ได้เลือกแบบจริงจัง ส่วนใหญ่จะเลือกเพลงที่อยากเล่นในตอนนั้น หรือบางครั้งก็เล่นตามที่แฟนคลับรีเควสต์ ถ้าเล่นได้ก็เล่น ถ้าเล่นไม่ได้ก็ไม่เล่นเพราะไม่เคยฟังมาก่อน”
พอร์สบอกว่า การที่พวกเขารวมตัวกันเพื่อเล่นดนตรีนั้นเป็นเพราะความชอบล้วนๆ เมื่อถามว่าคิดว่าจะได้รับกระแสตอบรับขนาดนี้หรือไม่ พอร์สบอกว่า “จริงๆ ตอนที่เราไปเล่นตามที่ต่างๆ คนดูค่อนข้างเยอะเลยครับ เพราะเราเล่นด้วยความจริงจังระดับหนึ่ง เราทำการแสดงเหมือนมินิคอนเสิร์ตเล็กๆ โดยมีพี่ๆ เพื่อนๆ มาดู และแฟนๆ ที่ติดตามเรามาจากไอจีที่พวกเราช่วยกันโปรโมตของแต่ละคน ทำให้การสะสมฐานแฟนๆ เป็นไปได้ดีในแต่ละที่”
ความรู้สึกของสมาชิกในวง
เมื่อถามถึงแพนเค้กในฐานะผู้หญิงคนเดียวในวง เธอบอกว่า “หนูคุ้นเคยกับเพื่อนๆ อยู่แล้ว เพราะเรารู้จักกันมาก่อน และด้วยความที่หนูเป็นคนที่ค่อนข้างห้าวๆ ทำให้ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากในการปรับตัว เพราะมีพี่ชายในวงด้วย ทำให้รู้สึกไม่เกร็ง และสามารถพูดคุยตรงๆ กันได้ง่ายขึ้นค่ะ”
แพนเค้กกล่าวต่อว่า “ในฐานะนักร้องนำ หนูต้องเป็นคนที่เพอร์ฟอร์มบนเวทีให้ดีที่สุด โดยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องเป็นคนแรกที่แก้ไขปัญหาทันทีค่ะ พูดถึงกระแสที่เกิดขึ้น หนูก็รู้สึกตกใจอยู่เหมือนกัน ทำไมคนถึงรู้จักพวกเรามากขนาดนี้ บางทีเวลาเห็นในโซเชียลก็เขิน เพราะไม่คิดว่าใครจะถ่ายรูปพวกเรามากขนาดนั้น แต่ก็รู้สึกดีใจที่ทุกคนได้เห็นเราในมุมต่างๆ ดีใจที่พวกเรามีตัวตนและได้รับความสนใจจากทุกคน การเติบโตของพวกเรามีทุกคนคอยสนับสนุนค่ะ”
มังกรเปิดใจว่า “จริงๆ ตอนแรกผมค่อนข้างขี้อายมาก พอตัดสินใจรับคำเชิญของพอร์สมาเล่นก็ต้องใช้เวลาคิดอยู่สักพัก พอเล่นวันแรกก็รู้สึกตกใจและตื่นเต้นมาก ขี้อายจนขาสั่นเลย แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ และเห็นว่าคนดูสนุกไปกับเราก็เริ่มรู้สึกมั่นใจมากขึ้น และตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันสนุกมาก คิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกที่ทำแบบนี้ มันเกินความคาดหมายจริงๆ ครับ แม้ว่าเราจะคาดหวังไว้ แต่มันก็ไม่ได้คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้”

ทะเลเล่าให้ฟังว่า “จริงๆ แล้วพอร์สไม่ได้ชวนผม ผมเองไปขอเค้กเล่น กว่าจะขอได้ใช้เวลาเกือบเดือนครับ ตอนแรกที่มาเล่นก็ค่อนข้างประหม่าพอสมควร เพราะปกติผมชินกับการนั่งอยู่หน้าคอมพ์แกะเพลงในห้อง หรือเล่นในยูทูบ แต่ครั้งนี้ต้องเล่นต่อหน้าคนจริงๆ โดยที่เราไม่เคยซ้อมกันมาก่อนเลย แต่ต้องเล่นให้ได้ แม้ว่าแทบทุกเพลงที่เล่นผมจะไม่รู้จักเลยก็ตาม ผมก็จินตนาการเสียงในหัวและเล่นตามนั้น เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ค่อนข้างแปลกใจมากครับ”
ทะเลยังบอกต่อว่า “กับชื่อเสียงที่มาค่อนข้างเร็ว ทำให้ผมต้องปรับตัวพอสมควรครับ เพราะเป็นคนไม่ค่อยคุยกับใคร ไม่ค่อยเปิดเผย แต่เมื่อมาเป็นบุคคลสาธารณะหลายๆ อย่างก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับวงการนี้ เพื่อจะเป็นศิลปินที่ดี และเพื่อให้แฟนๆ รักแฟนๆ ชอบ ความรับผิดชอบต่างๆ ก็มีเพิ่มขึ้น จากที่เคยซ้อมแบบไม่เป็นเวลา ตอนนี้ทุกอย่างต้องเป็นระบบแล้วครับ หลังจากเข้ามาอยู่กับไวท์ มิวสิก ของแกรมมี่ครับ”
ก้าวสู่การเป็นศิลปินในค่ายไวท์ มิวสิก
เมื่อถามถึงการมาร่วมงานกับไวท์ มิวสิก ว่ามีโอกาสเข้ามาได้ยังไง ตินเล่าถึงเรื่องนี้ว่า “จริงๆ พวกเราติดตามผลงานของไวท์ มิวสิกอยู่แล้วครับ เราชื่นชอบเพลงของค่ายนี้มากๆ ตอนแรกพวกเราได้รับโอกาสจาก GMM Academy ให้มาแคสต์ และเมื่อแคสต์เสร็จ เขาก็ให้เราเลือกว่าจะมาทางไหน หรือเลือกค่ายไหน พวกเราก็ตัดสินใจเลือกไวท์ มิวสิกครับ เพราะเพลงแนวนี้เข้ากับวงของเรา พอถามว่ามีค่ายอื่นติดต่อเข้ามาบ้างไหม ก็มีอยู่บ้างครับ”
แพนเค้กเสริมว่า “ก็มีบ้าง (ยิ้ม) ด้วยความที่เรารู้จักแกรมมี่มาตั้งแต่เด็กๆ มันเหมือนกับการที่เด็กคนหนึ่งมีความฝันอยากจะเป็นศิลปินและอยากทำอาชีพนี้ ความฝันสูงสุดของพวกเราคือการได้มาอยู่ที่ตึกนี้ แต่ทุกคนก็รู้ว่าเพื่อที่จะมาอยู่ที่นี่ได้ เราต้องปรับตัวให้ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราต้องมีความเป็นมืออาชีพให้มากขึ้นค่ะ”

พอเข้ามาในวงการก็รู้สึกเกร็งเลย (ยิ้ม) จริงๆ ตอนแรกเราก็เกร็งตั้งแต่ตอนที่พี่ๆ มาร่วมแจมด้วยค่ะ ตอนแรกคิดว่าพี่ๆ จะดุ แต่พอทำงานจริงๆ พี่ๆ กลับเป็นกันเองมาก ให้พวกเราทำตัวเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ พี่ๆ ศิลปินก็ได้แนะนำหลายๆ อย่าง เช่น วิธีการทำงาน การร้องเพลง และการใส่ความเป็นตัวเองลงไปในเพลง มีหลายๆ อย่างที่พี่ๆ เขาสอน”
ทะเลเสริมว่า “ตอนนั้นพี่บอย ตรัย มาร่วมแจมกับพวกเราและพี่โป้ โยคีเพลย์บอย ก็มาเยี่ยมชมด้วย เป็นไอดอลของผมเลยครับ ชอบมาก หลังจากนั้นเหมือนพี่มังกรลืมใส่คอนแท็กเลนส์” มังกรเล่าเพิ่มเติมว่า “วันนั้นรู้สึกตาเจ็บมาก เลยเข้าไปที่ร้านแว่นตา แต่ไม่สามารถใส่ได้ในตอนนั้น ทำให้วันนั้นผมไม่ได้ใส่แว่นสายตาเลย ซึ่งสายตาสั้น 400 ทำให้มองไม่เห็นเพื่อนและไม่รู้จะสื่อสารยังไง พี่บอย ตรัย เลยแนะนำว่าเราควรสื่อสารกันให้ดี และส่งเอนเนอร์จี้จากในวงออกมาให้คนดูได้สัมผัสเต็มๆ เขาจะเน้นเรื่องการมองตากันในวงครับ”
ถามถึงการแบ่งเวลาเรียน ตินบอกว่า “ผมคิดว่าเราต้องเวิร์กออนกับทุกที่ ใช้เวลาให้คุ้มค่า เวลาที่เราไปเล่นดนตรี ก่อนขึ้นเวทีเราก็เอางานไปทำ ใช้เวลาให้มีประโยชน์ที่สุด ทุกที่เราก็เต็มที่” ส่วนพอร์สบอกว่า “เรียนก็สำคัญครับ แต่สำหรับผม งานสำคัญกว่า เพราะงานคือโอกาส ถ้าวันนี้เราทิ้งโอกาสไป เราไม่รู้ว่าโอกาสจะกลับมาหาเราอีกเมื่อไหร่ เรื่องเรียนไม่จำเป็นต้องดรอปครับ เราก็แค่คุยกับมหาวิทยาลัยให้เข้าใจ และเราก็ทำงานได้ง่ายขึ้น ถึงเวลาสอบก็คือสอบ ทำหน้าที่ของเราไปครับ”

แพนเค้กกล่าวว่า “เน้นส่งงานค่ะ เอาหน้าไปให้ครูเห็นบ่อยๆ (หัวเราะ) หมายถึงเข้าเรียนให้ครูจำหน้าได้ และก็มีแผนจะสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ค่ะ” ส่วนมังกรกล่าวว่า “ตอนนี้ผมอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว และการเรียนก็จะแบ่งเป็นเซสชั่นที่ชัดเจน เช่น มีเรียนเช้าและงานบ่าย ผมก็จะไปเรียนเช้าเสร็จแล้วก็ไปงานต่อ อีกทั้งยังช่วยงานมหาวิทยาลัยด้วยเพราะผมชอบทำกิจกรรมครับ”
ทะเลบอกว่า “ผมเรียนดนตรีที่สาธิตประสานมิตร เป็นเด็กดุริยางค์ ด้วยความที่เราได้ทำสิ่งนี้อยู่แล้ว มันเชื่อมโยงกับการเรียนดนตรีที่เราเรียนไปด้วย คือเอกของผมคือการเล่นกีตาร์ ครูให้การบ้านมา เราก็ได้ฝึกและใช้ในเวลาซ้อมที่ไวท์ มิวสิค ซึ่งมันก็เชื่อมโยงกันได้ เพลงของเราก็เอาไปสอบได้เลย เพราะมันเป็นเพลงของตัวเองครับ (ยิ้ม)”
เลื่อนชั้น
Yes Indeed เล่าถึงซิงเกิลเพลงแรกในชีวิต “เลื่อนชั้น” ว่าตื่นเต้นหรือไม่ พอร์สบอกว่า “ตื่นเต้นครับ มันคือความฝันของพวกเราอยู่แล้ว เราอยากมีเพลงของตัวเองที่สามารถเล่นในคอนเสิร์ตได้ เราไปเล่นคอนเสิร์ตหลายที่แล้ว ทั้งราชมัง บิ๊กเมาท์เท่น แต่ไม่เคยมีโอกาสเล่นเพลงของตัวเองเลย ได้แต่เล่นเพลงคัฟเวอร์ของพี่ๆ เขาทั้งหมด เราก็เลยอยากเล่นเพลงตัวเองบ้างสักครั้ง พอได้เล่นไปแล้วก็อยากย้อนเวลากลับไปเล่นใหม่ (หัวเราะ) แต่ยังไงปีนี้เราต้องได้เล่นแน่นอนครับ”
เมื่อถามถึงการมีส่วนร่วมในการทำเพลง พอร์สบอกว่า “สำหรับผม ผมคิดไลน์กีตาร์โปร่งและคอรัส รวมถึงได้อัดทั้งกีตาร์โปร่งและคอรัสด้วยตัวเอง จริงๆ แล้วคอรัสไม่ได้มีในแผนการผลิต แต่ผมขอร้องให้มีเพราะอยากร้อง (ยิ้ม) ตอนเข้าห้องอัดเลยบอกพี่ณัฐ (ณัฐ วง Klear โปรดิวเซอร์) ว่าขอร้องคอรัสเอง พี่ณัฐก็ให้โอกาสครับ” แพนเค้กเสริมว่า “เพลงนี้พวกเราทุกคนมีส่วนร่วมกันในการคิดเพลงและอัดกันเองทั้งหมด” ตินกล่าวว่า “ส่วนผมก็คิดไลน์คีย์บอร์ดและอัดไลน์คีย์บอร์ดเองครับ ทุกคนมีส่วนร่วมกันครับ”

แพนเค้กพูดต่อว่า “ของหนูก็อัดร้องเอง และใส่คำบางคำที่เป็นตัวเองลงไปในเพลง ส่วนพี่ณัฐช่วยดูให้ค่ะ” ทะเลกล่าวว่า “ของผมเป็นกีตาร์โซโล่ โดยคิดทั้งไลน์ Rhythm และไลน์ Lead ของเพลง อัดเองทั้งหมดในส่วนนี้ พี่ณัฐ วงเคลียร์ ผู้เป็นโปรดิวเซอร์ มาช่วยเคาะเรื่องเอฟเฟกต์และเลือกอุปกรณ์ที่จะใช้ รวมถึงกีตาร์ตัวไหนที่เหมาะกับไลน์ไหนครับ” มังกรบอกว่า “ของผมเป็นพาร์ตกลอง โดยคิดพาร์ตดนตรีกลองชุดทั้งหมด ซึ่งมันค่อนข้างยากเพราะเล่นเพลงคัฟเวอร์มานาน ยังหาสไตล์ของตัวเองไม่เจอ แต่พี่ๆ เขาช่วยดึงเอาความเป็นตัวเราออกมา และให้คำแนะนำต่างๆ เพื่อให้มันเข้าที่ครับ”
เมื่อถามถึงภาพรวมของเพลงที่ออกมา พอร์สบอกว่า “ชอบมาก ฟังมาสเตอร์รวมครั้งแรกแล้วรู้สึกว่ามันใช่เลย เพลง Yes Indeed ทำให้เพื่อนๆ แห่แซว ผมรู้สึกว่าเพลงนี้มันเป็นตัวเราอย่างแท้จริง มันมีลายเซ็นของพวกเราหมดเลย” แพนเค้กบอกว่า “เราฟังเพลงที่อัดในคืนนั้นเลยค่ะ หนูเป็นคนสุดท้ายที่อัด พอออกจากห้องอัดแล้วฟังเพลง รู้สึกว่ามันฟินมากๆ ค่ะ มันน่ากระโดดในคอนเสิร์ต พี่ณัฐก็กระโดดตามหนูด้วยตอนที่หนูร้อง เขาก็ช่วยบิวต์ให้ค่ะ ทำให้มันดูน่ากระโดดจริงๆ”

พวกเราตื่นเต้นมากๆ ที่ได้ร่วมงานกับพี่ณัฐและพี่กบ Big Ass ค่ะ พวกเราไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งศิลปินที่เราชื่นชอบและติดตามมาตั้งแต่เด็กๆ จะมาทำเพลงให้เรา ช่วยดึงตัวตนของเราออกมาเป็นเพลงนี้ การทำงานกับพี่ๆ เป็นมืออาชีพมาก พี่เขาให้เราคิดและทำเอง ส่วนตัวพี่ๆ จะคอยแนะนำว่าควรทำแบบไหนและไม่ควรทำแบบไหน แต่โดยรวมพี่ๆ ท่านเป็นคนที่ปล่อยให้เราทำทุกอย่างได้อย่างเต็มที่ ปรับน้อยมากจริงๆ ค่ะ
ส่วนกระแสตอบรับจากแฟนๆ พอร์สบอกว่า “เขาน่าจะรู้สึกภูมิใจและชื่นชอบผลงานของพวกเรา เขาน่าจะมีความรู้สึกเหมือนกับพวกเรา คือน่าจะรอคอยที่จะได้เห็นผลงานของเรา วันนี้เราก็ได้เดบิวต์และมีซิงเกิลของตัวเองแล้ว ถือเป็นการเลื่อนชั้นไปพร้อมๆ กันกับแฟนๆ เลยค่ะ” แพนเค้กกล่าวว่า “วันนั้นเรานำเพลงของเราที่เพิ่งปล่อยไปเปิดหมวกแก้บนและแฟนๆ ก็ร้องตามเราได้ มันเป็นภาพที่เราฝันมานานว่าอยากเห็นแฟนคลับร้องเพลงของเราได้ พอถึงวันนั้น ทุกคนร้องกลบเสียงหนูไปหมดเลย หนูดีใจมากที่ได้เห็นภาพนี้ อยากให้มันเกิดขึ้นในทุกเวทีค่ะ”

ที่เราไปเปิดหมวกแก้บนก็เพราะเราต้องการเป็นศิลปิน อยากมีเพลงของตัวเอง พอได้ก็ไปเปิดหมวกแก้บนตามสถานที่ที่เราเคยไปเล่นค่ะ” พอร์สเสริมว่า “เราไปเปิดหมวกที่สยาม, เยาวราช, จตุจักร และเอเชียทีค ส่วนที่อื่นๆ ก็จะไปไหว้ศาลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แต่ละที่ค่ะ” พอถามถึงบรรยากาศ พอร์สตอบว่า “สนุกมากเลยครับ เป็นการตื่นเช้าที่เต็มไปด้วยความสนุกและไม่มีความเหนื่อยเลย”
รับมือกับดราม่า
จากจุดเริ่มต้นที่ได้รับความสนใจในโซเชียล จนมาถึงตอนนี้พอร์สบอกว่าเขารู้สึกดีขึ้นและสนุกมากกับการเป็นศิลปินใหม่ ได้สัมผัสสิ่งใหม่ๆ ทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เขาได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อย่างการพูด การเดิน การแสดงในที่สาธารณะ รวมถึงการเพอร์ฟอร์มและการพูดคุยกับแฟนคลับ เขาเรียนรู้ทุกสิ่งจากพี่ๆ ศิลปินและค่ายไวท์ มิวสิค ที่สอนและแนะนำให้ทุกอย่าง ทำให้เขาได้เติบโตอย่างมากค่ะ
เมื่อมีชื่อเสียง มักจะมีเรื่องดราม่าตามมาด้วย พอร์สบอกว่าเขาก็ยังคงทำงานของตัวเองให้เต็มที่ ส่วนแพนเค้กบอกว่าเขาจะใช้คอมเมนต์ต่างๆ มาปรับปรุงตัวเองให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้แฟนๆ ได้เห็นผลงานที่ดีที่สุด พอร์สเสริมว่า เขาห้ามความคิดของคนอื่นไม่ได้ แต่เขาจะทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุข ถ้าคอมเมนต์ไหนไม่ดีจริงๆ เขาก็จะอ่านแล้วมองข้ามไป และมุ่งมั่นทำสิ่งที่ดีที่สุดต่อไป ไม่ให้สิ่งเหล่านั้นมาทำลายความมุ่งมั่นหรือจิตใจของเขา
ตินเสริมว่า “แทนที่เราจะไปใส่ใจแค่คอมเมนต์ลบไม่กี่อัน เรากลับมองในภาพรวมว่ามีคนที่ชอบเรามากมาย ทำไมต้องไปสนใจกับคนที่ไม่ชอบเราล่ะครับ เราก็นำคอมเมนต์ที่ลบมาปรับปรุงให้ดีที่สุด” ส่วนทะเลบอกว่า “สำหรับผมคอมเมนต์มีทั้งดีและไม่ดี แต่เราไม่ได้ละเลยคอมเมนต์ที่เป็นลบ บางคนเขาติเพื่อให้เราเก่งขึ้น แต่บางคอมเมนต์ก็เป็นการด่าไปเรื่อยๆ ซึ่งเราก็ไม่ใส่ใจ เรามีการแยกแยะอย่างชัดเจน ถ้าเขาติเรื่องเทคนิคหรือการเพอร์ฟอร์มที่มีสาระ เราก็เอามาปรับปรุง แต่คอมเมนต์ดีๆ เราก็เห็นได้เรื่อยๆ ครับ”

มังกรบอกว่า “สำหรับผมก็มีคอมเมนต์ที่ติเพื่อให้เราเก่งขึ้น ซึ่งเราจะนำมาปรับใช้ เพราะบางครั้งเราก็ไม่เห็นข้อผิดพลาดของตัวเอง ขอบคุณที่ช่วยชี้ให้เห็นสิ่งที่ต้องแก้ไข ส่วนคอมเมนต์ลบก็เป็นสิ่งที่ห้ามความคิดใครไม่ได้หรอกครับ สิ่งสำคัญคือการอยู่กับคนที่รักเราและคอยดูแลเราให้ดีที่สุด”
เมื่อถูกถามถึงดราม่าระหว่างพอร์สกับค่ายเก่า (EXP Entertainment) เกี่ยวกับปัญหาสัญญา พอร์สบอกว่า “อย่างที่ผมบอกว่าเราไม่สามารถห้ามความคิดของใครได้ เราก็ทำเพลงของเราให้ดีที่สุด มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เราก็ทำเพลงซ้อมไปเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยมากพอแล้ว ไม่ได้หลับได้นอน ไม่มีเวลามานั่งคิดอะไรเยอะ งานทุกวันแน่นมาก เรื่องดราม่าก็ไม่ได้คุยกับครอบครัวเลยครับ เราอยากโฟกัสกับการทำงานมากกว่า แค่นี้ก็เต็มที่แล้วครับ”
สิ่งที่อยากทำ
เมื่อถามถึงแผนการของวง Yes Indeed ในขั้นต่อไป พอร์สบอกว่า “เราก็คงต้องพัฒนาฝีมือก่อนเป็นอันดับแรก ทำให้ผลงานของเราเติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างผลงานที่ทุกคนจะต้องประทับใจ พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็จะมีคัฟเวอร์เพลงหรือผลงานใหม่ๆ ที่ออฟฟิเชียลไวท์ มิวสิค จะปล่อยให้ทุกคนได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง วงเราเด่นเรื่องเซอร์ไพรส์ ถ้าสังเกตตั้งแต่ตอนเปิดหมวกจะเห็นว่าเรามีเซอร์ไพรส์ทุกอาทิตย์ หลังจากนี้จะมีเซอร์ไพรส์ให้ทุกคนอีกเช่นกัน ต้องติดตามครับ”
แพนเค้กเล่าว่า “ถ้าเป็นหนูเอง อยากให้ Yes Indeed มีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองในชีวิตหนึ่ง มันคือความฝันสูงสุดของหนูเลยค่ะ ส่วนการโหนสลิงบนเวทีคอนเสิร์ตคือสิ่งที่หนูอยากทำมากที่สุด อยากบินได้ อยากมีภาพโบกมือให้กับแฟนๆ แล้วตัวลอยไปมา มันเท่ดีและน่าประทับใจมาก”

ตินกล่าวว่า “อยากที่จะอยู่ในวงการนี้ไปนานๆ ครับ อยากที่จะทำเพลงดีๆ ต่อไปเรื่อยๆ เป็นศิลปินมืออาชีพ โตไปกับแฟนๆ ทุกคนเลยครับ อยากจะเป็นตำนานของกลุ่มเด็กที่เริ่มจากการเปิดหมวกแล้วโตขึ้นเป็นศิลปิน เล่นดนตรีกันไปยาวๆ อย่างกลุ่มคุณลุงที่เล่นดนตรีครับ”
ทะเลเผยว่า “ความฝันของผมคืออยากโดดร่มครับ (ยิ้ม) แต่ถ้าพูดถึงวง Yes Indeed ผมอยากให้ทุกคนมองภาพใหญ่ๆ ผมฝันมาตลอดว่าอยากทำเพลงที่สามารถเข้าถึงทั่วโลก ทำเพลงเป็นภาษาอังกฤษ มีศิลปินไทยหลายคนที่ไปถึงต่างประเทศได้ เราก็อยากมีเพลงที่ทำให้คนฟังต่างประเทศชื่นชอบครับ อยากมีเพลงที่ขายได้ทั่วโลก และได้ไปทัวร์ต่างประเทศ นี่คือความฝันของผมกับวง Yes Indeed ครับ”
มังกรกล่าวว่า “อยากพัฒนาฝีมือให้ดีขึ้นเรื่อยๆ อยากให้พี่ๆ ยอมรับว่าเราคือศิลปินแล้ว ค่อยๆ แสดงให้เขาเห็นถึงความพยายาม และมาตรฐานที่เราปรับปรุงขึ้นทุกวัน อยากให้เห็นว่าเรากำลังเติบโตขึ้น หวังว่าในอนาคตจะสามารถเล่นดนตรีได้เก่งเหมือนพี่ๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจของเรา”

พอร์สกล่าวกับแฟนๆ ที่คอยติดตามพวกเขามาตลอดว่า “ขอบคุณทุกคนที่คอยสนับสนุนพวกเราตั้งแต่เริ่มต้น บางคนติดตามตั้งแต่ตอนที่ผมเล่นดนตรีกับเค้ก ขอบคุณมากๆ ที่ไม่เคยทิ้งพวกเราไปไหน นี่คือเหตุผลที่พวกเราไม่ทิ้งคุณครับ (ยิ้ม)” จากนั้นมังกรบอกว่า “ขอบคุณจากใจจริงๆ ครับ ถ้าไม่มีทุกคนในทุกๆ วันที่เราเล่นดนตรี ก็คงไม่มีเราที่เป็นแบบนี้ ขอบคุณที่ซัพพอร์ตเด็กธรรมดาที่มีความฝันกลุ่มหนึ่ง ขอบคุณที่ใจดีให้พวกเราเสมอครับ”
ทะเลกล่าวกับแฟนๆ ว่า “ขอบคุณทุกคนที่คอยซัพพอร์ตเรามาตลอด ขอบคุณที่รอเพลงของพวกเราจะออกมา เชื่อเถอะว่าทุกคนจะชอบกันแน่นอน อีกอย่างขอบคุณแฟนคลับที่คอยให้ปิ๊กกับผม เพราะผมมักจะทำปิ๊กหายบ่อยๆ (ยิ้ม)” ส่วนตินกล่าวว่า “อยากขอบคุณแฟนๆ ที่ทำให้ความฝันของพวกเราทั้ง 5 คนเป็นจริง พวกเขาภูมิใจในตัวเรา ร้องไห้ไปกับเราเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ขอบคุณทุกคนที่คอยซัพพอร์ตเรามาตลอดครับ”
แพนเค้กกล่าวว่า “สำหรับคนอื่นอาจจะบอกว่า ขอบคุณที่ทำให้ความฝันเป็นจริง แต่สำหรับหนู ขอบคุณที่ทำให้เด็กคนนี้มีความฝันค่ะ เพราะก่อนหน้านี้หนูก็ไม่รู้เลยว่าความฝันของตัวเองคืออะไร แต่พอได้เจอและได้อยู่กับทุกคน ทำให้หนูเห็นว่าตรงนี้แหละคือความฝันของเรา ขอบคุณที่เชื่อในตัวพวกเราในวันนั้น เชื่อแม้กระทั่งตอนที่พวกเราไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเอง ขอบคุณที่ยังมองพวกเราเหมือนวันที่เราเจอกันครั้งแรกค่ะ”